เพจ Peace News โพตส์ข้อความ ระบุว่า .... ฟันธง! งบ 63 โมฆะต้องเริ่มต้นใหม่หมด แนะทำผิดแล้วแก้ไขให้ถูกได้ยึดยุติธรรม “จตุพร” งัดคำวินิจฉัยศาล รธน.ปี 2556 สั่งเสียบบัตรกดมติแทนกันเป็นความผิด เป็นเหตุให้ร่าง พรบ.เงินกู้ไม่ชอบ รธน. เชื่อ ร่าง พรบ. งบ 63 ก็เดินไปตามทางเดียวกัน ชี้ต้องมาเริ่มใหม่ทั้งกระบวนการวาระ 1 เตือนอย่าดื้อดันทุรังช่วยกันไปอีกจะไม่เหลือความถูกต้องเลย ลั่นผิดแล้วแก้ใหม่ยังเหลือยุติธรรมให้ยึดได้บ้าง เมื่อ 24 ม.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการหยิบข่าวมาคุย ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีซทีวี ถึงกรณี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเสียบบัตรกดมติแทนกันว่า เรื่องนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายพยายามหาทางออกให้ ซึ่งทำได้หากไม่มีคำวินิจฉัยของศาล รธน.เมื่อปี 2556 เป็นบรรทัดฐานไว้ แต่การเสียบบัตรกดเสียงแทนกันครั้งนี้ได้มีคำวินิจฉัยของ ศาล รธน.มาแล้ว นายจตุพร ย้ำว่า การเสียบบัตรกดมติแทนกันเมื่อปี 2556 ในร่าง พรบ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนั้น เกิดขึ้นเพียงกรณีเดียวเท่านั้น แต่ศาล รธน.ได้วินิจฉัยว่า การเสียบบัตรแทนกันนั้น เป็นการลงมติในสภาที่ละเมิดความเป็น ส.ส. ขัดหลักความซื่อสัตย์ ซึ่งถูกครอบงำการออกเสียงได้ จึงมีผลทำให้การออกเสียงไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย "เมื่อกระบวนการลงคะแนน พรบ.เงินกู้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงถือมติของสภาผู้แทนในการตราร่าง พรบ.เงินกู้ดังกล่าว (2 ล้านล้านบาท) เป็นมติที่ไม่ชอบรัฐธรรมนูญ อันมีผลให้ร่าง พรบ.เงินกู้ ตราขึ้นไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ" นายจตุพร อ่านสรุปคำวินิจฉัยของศาล รธน.เมื่อปี 2556 นายจตุพร ยังระบุว่า นอกจากนี้ ในปี 2559 คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยังไต่สวนข้อหาผู้ถูกกล่าวหาเสียบบัตรกดเสียงแทนกันในเครื่องคนอื่นด้วย และผลการไต่สวนระบุมีความผิดเข้าข่ายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และกฎหมาย ป.ป.ช. รวมทั้งฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญด้วย มีมติส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และขณะนี้คดียังอยู่ในขั้นศาล “กรณีการเสียบบัตรกดมติแทนกันเมื่อปี 2556 นั้น อยู่ระหว่างการพิจารณาร่าง พรบ.เงินกู้ในวาระที่ 2 เท่านั้น แต่ศาล รธน.วินิจฉัยให้ พรบ.เงินกู้ตกทั้งฉบับ ดังนั้น ผมเชื่อว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ส่งเรื่องให้ ศาล รธน.ตีความการลงมติ พรบ.งบประมาณปี 2563 เท่ากับส่งสัญญาว่า ยังนำ พรบ.งบประมาณ ขึ้นกราบบังคมทูลฯได้ นายจตุพร กล่าวว่า กรณีเสียบบัตรกดมติแทนกันในร่าง พรบ.งบประมาณปี 2563 ต้องนำมาเทียบเคียงกับการกดบัตรแทนในปี 2556 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกดบัตรแทนในปี 2563 มีถึง 4 กรณี ซึ่งแตกต่างจากเมื่อปี 2556 มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น "เรื่องนี้ ผมเชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่รู้เรื่อง และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็ไม่รู้เรื่องด้วย เพราะเรื่องนี้ต่างรู้กันว่านรกมีจริง จึงไม่มีใครกล้าไปสนับสนุน แต่เกิดขึ้นมาจากความเคยตัวของการเป็น ส.ส. เท่านั้น ดังนั้น การอ้างเครื่องกดบัตรไม่พอ ไม่สามารถนำมาเป็นเหตุให้กดบัตรแทนกันได้ ก็ต้องรอต่อคิวกัน เพราะการเสียบบัตรกดบัตรแทนเป็นเรื่องของบุคคล จะให้คนอื่นกระทำแทนไม่ได้" อีกทั้ง ศาล รธน.สร้างบรรทัดฐานการเสียบบัตรกดมติแทนกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ไม่ชอบรัฐธรรมนูญดังนั้น นายวิษณุ อาจใช้ปฏิหารทางกฎหมายได้ ถ้าไม่มีคำวินิจฉัยของศาล รธน.เมื่อปี 2556 สร้างบรรทัดฐานไว้ แต่กรณีนี้มันตำตา "การกดบัตรแทน เป็นการชะล่าใจอย่างชนิดไม่น่าให้อภัยเลย แม้งบปี 2563 จะล่าช้าไป ประเทศจะเดือดร้อน แต่ผมเชื่อว่า ศาล รธน. ไม่กล้ากลับคำวินิจฉัยที่สร้างบรรทัดฐานไว้ เพราะตำตาเกินไป และเชื่อด้วยว่า ร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายปี 2563 ก็ขัดรัฐธรรมนูญ และไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ พูดภาษาง่ายๆบ้านเราว่า ร่าง พรบ.งบประมาณ เป็นโมฆะ" ดังนั้น หลังจาก ศาล รธน.วินิจฉัยแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมการคือ ต้องเริ่มต้นกันใหม่หมดทั้งกระบวนการพิจาณาของสภา ตั้งแต่วาระ 1 แม้มีการพยายามให้แก้ไขเป็นกรณีไปนั้น แต่ตนเห็นว่า ศาล รธน.ได้วินิจฉัย พรบ.เงินกู้ปี 2556 ก็ไม่ได้แก้เฉพาะมาตราที่มีการกดบัตรแทนกัน แต่กลับให้ไม่ชอบรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ “อย่าพยายามดื้อดึงกันให้มากนัก แม้ประเทศ ถ้าไม่ผ่าน พรบ.งบประมาณ จะต้องมีอันเป็นไป แต่เวลานี้ด้านเศรษฐกิจก็หนักสุดกันอยู่แล้ว เพียงแต่อะไรไม่ถูกต้องก็ควรให้ถูกต้องกันเสีย เมื่อเดินมาถึงขณะนี้แล้ว และเกิดความเสียหายเรียงตามลำดับกันแล้ว แต่สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือความถูกต้องและไม่ทำเป็นสองมาตรฐาน ดังนั้น เมื่อเดือดร้อนกันทั่วหน้าแล้ว ขอให้เหลือความยุติธรรมกันไว้บ้าง” เมื่อการเสียบบัตรเป็นกรณีเดียวกับปี 2556 ดังนั้น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นเลย ศาล รธน.ปฏิบัติต่อปี 2556 อย่างไร ในปี 2563 ก็ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะตนเชื่อว่า หลักฐานมันจนมุมในการเสียบบัตรกดมติแทนกัน “อย่าให้เสียกันมากกว่านี้ คนจะรับไม่ไหว อะไรที่ไม่ถูกต้องก็กลับมาทำให้ถูกต้อง หากยังช่วยกันโดยไม่คำนึงถึงสิ่งถูกต้องโดยหาเรื่องอื่นมากลบ แต่เรื่องนี้เอาอะไรมากลบก็ไม่ได้ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่แล้ว” นายจตุพร ย้ำว่า เรื่องการกดบัตรแทนกัน จะจงใจหรือไม่ก็ตาม แต่ความผิดเกิดสำเร็จขึ้นแล้ว อีกทั้งศาล รธน. ได้วางบรรทัดฐานไว้อย่างเรียบร้อย จึงจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย
ขอบคุณข้อมูลและภาพ เพจ - Peace News