ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “สาระของการนำเสนอที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ผ่านวรรณกรรมในแต่ละชาติเป็นปรากฏการณ์ทางความคิด ให้เราได้สัมผัสรู้กันอยู่เสมอ เป็นวิถีประจักษ์ของความลึกซึ้ง และเป็นการสดับรู้สู่การใคร่ครวญของแต่ละชาติที่มีคุณค่า...แผ่นดินจีนนับเป็นดินแดนหนึ่งที่มีเรื่องราวอันล้ำค่าเช่นนี้มากมายเป็นประสบการณ์ทั้งด้านความคิดและการกระทำมาทุกยุคทุกสมัย..เป็นอุทาหรณ์สอนจริต เป็นบันเทิงคดีประเทืองปัญญา และเป็นคุณค่าแห่งคุณค่าในการถอดรื้อและเข้าใจความหมายอันเป็นดั่งเนื้อแท้ของปรัชญาแห่งชีวิต” บทเริ่มต้นของสาระทางวรรณกรรมเบื้องต้นนับเป็นข้อสังเกตแห่งผลรวมทางคุณค่าของวรรณกรรมจีน..ที่ยังคงมีรสชาติอันเอกอุต่อการเรียนรู้เสมอ...แม้จะก้าวมาสู่ยุคสมัยใหม่ที่..บริบททางความคิดและการกระทำของโลกจะเปลี่ยนแปลงรูปรอยไปมากมายสักเพียงใดแล้วก็ตาม... “ไม้เท้าตีสุนัข” งานเขียนของ “กัวจิ้งอวี่”...ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยอย่างหนักแน่นและงดงาม โดยนักแปลผู้มีเชิงชั้นและความสามารถในการถอดความทางภาษา “เรืองชัย รักศรีอักษร” ../ถือเป็นวรรณกรรมจีนยุคใหม่ที่พูดถึงประวัติศาสตร์ของชาติพันธุ์ผ่านบทตอนอันสั่นคลอนของยุคสมัย...ออกมาได้อย่างจริงจังและชวนพิเคราะห์ยิ่ง “ไม้เท้าตีสุนัข..ตีสุนัขบ้า ตีสุนัขชั่ว!” มันคือแก่นสารของเรื่องราวที่ระบุถึง “พรรคกานจื่อ”..ที่ปกป้องบ้านเมือง พิทักษ์ชาติ และพัฒนาประเทศ ภาพรวมของนวนิยายเรื่องนี้..อุบัติขึ้นจาก.. “ภาวะถึงคราเปลี่ยนผ่าน..ประชาชนผู้รักชาติมิอาจนิ่งดูดาย...สองมือเปล่าจับอาวุธลุกขึ้นสู้ ขับไล่ผู้รุกราน ปกป้องมาตุภูมิ” เรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปโดยมี “ไต้เทียนหลี่” เป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนบทบาทของตัวละครทั้งหมด/แท้จริงเขาคือประมุขพรรคกานจื่อ...ที่ใช้ไม้เท้าตีสุนัขเป็นอาวุธคู่กาย มีวรยุทธ์สูง นิสัยดื้อรั้นห้าวหาญ/แต่ยึดมั่นในคุณธรรม มีฉายาว่า “ไต้ลาป่า”/...ต่อมาได้เป็นวีรบุรุษพิทักษ์ชาติ นำพาพี่น้องพรรคกานจื่อและชาวเร่อเหอต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นผู้รุกราน... ชีวิตและชะตาชีวิตของ “ไต้เทียนหลี่” คือบทบาทนำอันสำคัญของนวนิยายเรื่องนี้ มันคือแก่นแท้แห่งบทสะท้อนในความเป็นตัวตนของเขาและตัวตนแห่งวิถีของแผ่นดิน..วิถีอันสั่นไหวและสั่นสะเทือนของชาติ ณ เวลานั้น “ไต้เทียนหลี่..ทายาทตระกูลราชองครักษ์ผู้ฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่เยาว์วัย...ได้พลั้งมือสังหารฝรั่งค้าฝิ่นจนต้องอาญาจากราชสำนักชิง เขาจำใจต้องลาจากครอบครัวและคนรักออกเร่ร่อนหลบหนีคดี โชคชะตานำพาให้เขาได้รับสืบทอด “ไม้เท้าตีสุนัข” อาวุธศักดิ์สิทธิ์คู่กายของพรรคกานจื่อ...อันถือเป็นดั่งสัญลักษณ์ของการปราบความชั่ว พิทักษ์ความดี” อะไรคือ “ไม้เท้าตีสุนัข” นั่นอาจเป็นคำถามที่หลายท่านคงค้างคาใจและปรารถนาที่จะอยากรู้ความหมายโดยนัยแห่งความเป็นรากเหง้าของมัน.../ในนวนิยายกำลังภายในเรื่อง “มังกรหยก” /ผู้อ่าน..ผู้ชอบสัมผัสแก่นสารของนวนิยายในท่วงทำนองนี้คงจะเคยคุ้นกับเคล็ดวิชานี้ซึ่งตัวเอกฝ่ายหญิง “อึ้งย้ง” ได้ใช้อยู่..มันคือวิชาของ “อั้งชิกกง” ที่เวลาหลบหลีกพลิกแพลงจะพลิ้วไหวดุจสายลมปะทะยอดอ้อ เวลารุกรบก็จะเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวดุจดั่งหินผา...ไม่ว่าจะตั้งรับและโจมตีล้วนเด็ดเดี่ยว..และหากผู้ใช้เป็นสตรีเพศผู้อ่อนช้อยเด็ดเดี่ยวก็ยากที่จะมีกระบวนวิชาใดเอาชนะได้...จุดประสงค์ของวิชานี้ ..เพื่อเป้าหมายในการศึกสงครามหรือกู้ชาติ/เป็นวิชาที่มีความเหนือกว่าอยู่ในแกนหลักของเคล็ดวิชาในทางฝึกฝนหรือปฏิบัติ... ครั้นอีก 13 ปีต่อมา/เมื่อ “ไต้เทียนหลี่” ได้มีโอกาสกลับมาบ้านเกิด ใจรักความยุติธรรมนำพาให้เขายื่นมือเข้าไปแทรกแซงเหตุการณ์บ้านเมือง สร้างความบาดหมางกับข้าราชการขี้ฉ้อและอิทธิพลมืดในท้องถิ่น..ขณะเดียวกันก็มิอาจคลี่คลายปมรักปมแค้นระหว่างตระกูลได้/...จวบจนลัทธิจักรวรรดินิยมของญี่ปุ่นขยายอิทธิพลรุกล้ำจีน เมื่อสงครามปะทุขึ้นที่เร่อเหอ พรรคกานจื่อ จึงยืนหยัดลุกขึ้นสู้ เป็นแกนนำบรรดาหนุ่มสาว ผนึกกำลังกันสะบัดธงรบภาคประชาชนปกป้องแผ่นดินด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ “ลูกหลานชาวจีน ฝึกวรยุทธ์ ฝึกฝนร่างกาย มีศัตรูผู้รุกราน...เราสู้ไม่ถอย..เสียสละเลือดเนื้อ ปกป้องประเทศชาติ!!” ปณิธานที่ตั้งมั่นนี้ถูกสอนสั่งและปลูกสร้างขึ้นโดย “ไต้เทียนหลี่” เพื่อสู้กับพวก “ผีญี่ปุ่น” คำเรียกที่พวกคนจีนได้ใช้เรียกเหล่าบรรดาทหารญี่ปุ่นอย่างเหยียดหยามอยู่ในเวลานั้น..แต่สิ่งที่เป็นยิ่งกว่าผีก็คือ “คนทรยศ” ต่อแผ่นดิน...คนขายชาติที่มองเห็นแผ่นดินถิ่นเกิดของตนอย่างหยามหมิ่น ดูแคลนและ ปราศจากความหวงแหนและความรัก “ทหารญี่ปุ่นหมายตาด่านซานไห่ไว้นานแล้ว พวกมันตั้งค่าย ตั้งเครื่องกีดขวาง สร้างหอคอยรักษาการณ์ไว้ที่ตงหลัวเฉินกับตงกวนเชี่ยวฉ่าง..อีกทั้งยังส่งคนคอยเฝ้าดูกองทัพของเรา พวกญี่ปุ่นคิดยังไงก็เห็นกันอยู่แล้ว ยังมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรอีก...รีบออกคำสั่ง ให้ผมไปหนุนช่วยด่วนเถอะครับ” นั่นเป็นคำกล่าวของ “นาถูหลู่” ตัวละครเอกฝ่ายอธรรมของนวนิยายเรื่องนี้...เขาเป็นศิษย์น้องของ “ไต้เทียนหลี่” ..มีวรยุทธ์สูง แต่ขี้ขลาด ไร้คุณธรรม ร่วมกับบิดาค้าฝิ่น เขาค้าฝิ่นและสังหารอาจารย์จึงมีความแค้นเต็มที่กับไต้เทียนหลี่...และที่สุดก็เป็นคนขายชาติ “อยากดังใช่ไหม ด่านซานไห่ไม่มีทหารป้องกันรึ ทหารกรมหนึ่งของกองพลน้อยที่เก้ากว่าสองพันนายตั้งมั่นอยู่ที่ด่านซานไห่ รอบนอกยังมีกำลังทหารอีกสองค่าย ทหารญี่ปุ่นมีอย่างมากก็สามพันนาย กำลังทหารพอๆกัน ทางเรายังได้เปรียบที่คุ้นเคยสมรภูมิ ยังจะห่วงอะไรอีก” บทสนทนาอันเป็นดั่งบทโต้แย้งระหว่างผู้คิดทรยศต่อชาติกับผู้รักและพิทักษ์ชาติ”ทังอวี้หลิน”ผู้บัญชาการทหารตรงส่วนนี้..คือความย้อนแย้งระหว่างกันอันถือเป็นปมเงื่อนสำคัญที่นวนิยายเรื่องนี้ มุ่งนำเสนอเป็นเจตจำนงออกมา..เป็นการแสดงถึงสำนึกแห่งการพิทักษ์ชาติกับสำนึกแห่งการทรยศต่อชาติอันเป็นที่สุด “ผีญี่ปุ่นมีเครื่องบิน รถถัง ปืนใหญ่ พวกเรามียุทโธปกรณ์อะไร พวกมันยังมีเรือรบสองลำอยู่กลางทะเล แค่ยิงปืนใหญ่ คนของเราก็ตายเกลื่อนแล้ว ผู้บัญชาการทั้งเคยฝ่ากระสุนมาก่อน รู้ดีว่าสงครามเป็นอย่างไร พวกญี่ปุ่นเพิ่งยึดสามมณฑลทางอีสานของเราไป กำลังฮึกเหิม แล้วคนของเราล่ะโดนด่าเรื่องที่ปล่อยให้สามมณฑลทางอีสานถูกยึด ไม่มีกะจิตกะใจจะสู้รบ ถ้าไม่มีใครหนุนช่วย ด่านซานไห่คงถูกยึดแน่” ประเด็นสำนึกของนาถูหลู่ผู้ทรยศ...ถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจากทรรศนะแห่งความรู้สึกอันเดือดพล่านของทังอวี้หลิน..มันคือสำนึกของผู้สัตย์ซื่อต่อความเป็นชาติและแผ่นดินถิ่นเกิด.. ...ทังอวี้หลิน..โกรธจัด ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น.. “บังอาจคุณรับเบี้ยหวัดจากใคร ผมให้หรือทหารญี่ปุ่นให้ แค่เรื่องที่คุณพูดอวดศักดาพวกญี่ปุ่น ผมก็สั่งยิงเป้าคุณได้แล้ว ...บ้านเมืองต้องการใช้คน ผมเห็นว่าคุณเป็นนายทหารถึงได้ยกโทษให้ คุณไปทบทวนดู หน้าที่ของคุณคือปกป้องเร่อเหอ ด่านซานไห่ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ ขืนบังอาจพูดบ้าๆ ทำให้ทหารสับสน ผมจะยิงเป้าคุณ...” สำนึกแห่งแห่งความรักชาติคือหัวใจหลักที่เป็นที่ประจักษ์และสมควรยกย่องของนวนิยายเรื่องนี้/ส่วนการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนจนนำไปสู่สำนึกอันมืดมนต่อการรุกทำลายชาติคือสถานะที่ถูกวิพากษ์อย่างรุนแรงในความเป็นสาระของนวนิยายเรื่องนี้มันคืออารมณ์และโครงเรื่องหลักของความเป็นวรรณกรรมแห่งภาพแสดงที่แสดงให้เห็นถึงแก่นแท้อันยากจะหยั่งถึงและเข้าใจของมวลมนุษย์ ซึ่งหลายๆครั้งก็ยอมที่จะแปดเปื้อนสีดำแห่งความคิดคดทรยศเพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่ละอายต่อบาป และก็มีหลายๆครั้งที่ผู้ยึดถือและปกป้องความถูกต้อง...ต้องเฉียดใกล้เข้าไปสู่บ่วงบาศก์แห่งโศกนาฏกรรมอย่างเหนือคาดคิด “ ..ไม้เท้าตีสุนัข” คือนวนิยายที่เขียนดัดแปลงรูปรอยมาจากบทละครทางโทรทัศน์ของจีนโดย”กัวจิงอวี่”ผู้สรรค์สร้างศาสตร์ทั้งสองแขนงนี้เข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน จริงจัง และมีชีวิตชีวา..โดยผ่านบทบาทชีวิตของ “ไต้เทียนหลี่”...ผู้เป็นวีรบุรุษต่อต้านศัตรูคือญี่ปุ่นดั่งที่ได้กล่าวนำมา..ภาพลักษณ์ของเขาเคียงคู่อยู่กับไม้เท้าตีสุนัขที่เป็นทั้งอาวุธคู่กายและเป็นสัญลักษณ์ของประมุขพรรคกานจื่อ..กอปรกับการรวมพลังของบรรดาผู้มีจิตใจรักชาติ ที่ลุกขึ้นมามุ่งต่อสู้กับคนขายชาติและผู้รุกราน ในฐานะผู้ปกป้องมาตุภูมิ/โดยเชื่อมโยงกับข้อมูลจริงทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏชัดอยู่แม้วันนี้..โดยเฉพาะความมีอยู่และเป็นอยู่ทางประวัติศาสตร์ของพรรคกานจื่อ ซึ่งเป็นพรรคที่มีจริงทางประวัติศาสตร์/อันเป็นการรวมตัวและรวมพลังกันของบรรดาขอทานและผู้ลี้ภัยเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันและเกื้อหนุนต่อการผดุงความยุติธรรม บทบาทแห่งชีวิตของพวกเขาเคลื่อนไหวอยู่แถบมณฑลเร่อเหอ มีประวัติความเป็นมาหลายร้อยปี...มีไม้เท้าตีสุนัขเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่พรรค คล้ายดั่งพรรคกระยาจกในบรรดาเรื่องราวแห่งกำลังภายในทั้งหลาย/ ห้วงเวลาต่อมาพรรคกานจื่อโดยการนำของ “ไต้เทียนหลี่” ได้ต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น ที่เข้ามายึดครองภาคอีสานของจีน/อันเป็นฉากหลักของการดำเนินเรื่องของนวนิยายเรื่องนี้/พวกญี่ปุ่นนอกจากจะบุกเข้ามารุกราน ยังเลือกตั้งรัฐบาลแมนจูเรียขึ้นมา/และรุกล้ำเข้ามาถึงมณฑลเร่อเหอซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลเหอเป่ย/ต่อมาการรุกรานนี้ได้ขยายใหญ่เป็นสงครามที่ส่งผลกระทบต่อแผ่นดินจีนอย่างเต็มรูปแบบ /และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง...บทสรุปแห่งโครงเรื่องจากความเป็นจริงทั้งหมดสะท้อนให้เห็นการเลือกยืนหยัดที่จะต่อสู้กับศัตรูและการตัดสินใจที่จะทรยศต่อชาติเพื่อเข้ากับศัตรูของชาติ ณ เวลานั้น../การร่วมมือกับญี่ปุ่นผู้เป็นศัตรูย่ำยีชาติและเพื่อนร่วมชาติกลายเป็นบาดแผลที่ฝังจำต่อคนจีนผู้รักชาติอย่างไม่รู้ลืม...มันคือบาดแผลฉกรรจ์ทางจิตวิญญาณที่ยากจะให้อภัย/เหตุนี้วิถีแห่งการต่อสู้ของคนจีน ณ ห้วงเวลานั้นจึงเปี่ยมเต็มไปอารมณ์แห่งความขัดแย้ง ระหว่างครอบครัว บุญคุณ ความแค้นและความรัก/เป็นผลรวมแห่งประวัติศาสตร์ทางอารมณ์ที่ถือเป็นความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง โศกนาฏกรรมแห่งชะตากรรมเหล่านี้..ถูกนำมาเขียนเป็นบทละครโทรทัศน์โดย “กัวจิ้งอวี่” ผู้เป็นเหลนของ “ไต้เทียนหลี่” ตัวเอกของนวนิยายเรื่องนี้ โดยมี “หม่าจิวจิน” คุณตาของเขาเป็นผู้เล่าให้ฟังตั้งแต่เด็กๆ/ครั้นเมื่อมาเป็นนวนิยายที่เขียนมาจากบทละคร...ผู้อ่านส่วนอาจจะลังเลและฉงนถึงอรรถรสที่จะได้รับ/แต่หากใครเคยได้อ่านนวนิยายกำลังภายในเรื่อง “ยอดขุนโจร” ของโกว้เล้ง..มาแล้วก็คงจะไม่สงสัยถึงปริศนาแห่งรสชาติในการรับรู้ในข้อนี้นัก/เพราะมันถูกประกอบสร้างขึ้นด้วยภาวะแสดงที่ดีเยี่ยมทางศิลปะ..ด้วยภาษาที่กระชับในการถ่ายทอดเรื่องราวอันสลับซับซ้อน สะท้อนถึงแก่นรากแห่งความคิดของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง/กระทั่งการเดินเรื่องที่กระชับ ฉับไว...ด้วยเจตจำนงที่เผยให้เห็น “ภาษาใจ” อันเป็นการเฉพาะของความเป็นนวนิยายแห่งการประกอบสร้างผ่านนวัตกรรมใหม่...อันชวนติดตาม และน่าชื่นชมเสมอ.. ผมหวังถึงว่าในสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและแบ่งฝักแบ่งฝ่าย...ที่ปรากฏอย่างชัดแจ้ง ในประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ณ เวลานี้/สาระเนื้อหาและรูปรอยความคิดที่แฝงฝังอยู่กับนวนิยายเรื่องนี้ทั้งหมดจะทำให้พวกเราได้ตระหนักถึงแก่นแท้แห่งคุณค่าของการอยู่ร่วมอย่างเป็นหนึ่งของกันและกัน/มากกว่าการจะคิดทรยศต่อสายสัมพันธ์อันดีงามและกล้าประกาศถึงความเป็นศัตรูที่อยู่คนละด้าน/...อย่างน้อยความจริงแห่งฐานคิดของนวนิยายเรื่องหนึ่งก็อาจเป็นได้ถึง “ของขวัญแห่งกาลเวลา”ที่ไม่ทำร้าย ทำลายเรา...จากความเป็นเลือดเนื้อและหมู่พวกไปจนชั่วนิรันดร์... ...ไต้เทียนหลี่น้ำตาไหล...เขากำหมัดแน่น ชูขึ้นสูง.. “ประชาชน..ผู้ไม่มีวันยอมแพ้จงเจริญ..ประชาชาติจีนที่ยิ่งใหญ่จงเจริญ” ไต้เทียนหลี่ยังคงชูกำปั้นค้างอยู่กลางอากาศ....เนิ่นนาน...เนิ่นนาน!!!