คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย เมื่อพูดถึงการเมืองไม่ว่าจะที่ใดก็ตามบนโลกใบนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พวกเราจะนึกถึงเรื่องของผลประโยชน์ โดยไม่มีข้อยกเว้นแม้กระทั่งการเมืองของสหรัฐอเมริกา สำหรับประเด็นร้อนสุดๆในแวดวงการเมืองของสหรัฐฯในขณะนี้อยู่ที่กระบวนการถอดถอน “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ออกจากตำแหน่งใน 2 ข้อหาด้วยกันกล่าวคือ ข้อหาแรก: ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจในทางมิชอบ โดยสั่งอายัดงบประมาณ 393 ล้านเหรียญ ที่วุฒิสภาอนุมัติในการช่วยเหลือยูเครนไว้เป็นเครื่องมือต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง ข้อหาที่สอง: ประธานาธิบดีทรัมป์ขัดขวางกระบวนการสอบสวนของสภาคองเกรส โดยสั่งห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวไปให้การหรือให้ความร่วมมือ รวมถึงสั่งห้ามมิให้ส่งเอกสารใดๆให้แก่สภาคองเกรส!!! อนึ่ง “วุฒิสมาชิกมิตช์ แมคคอนเนลล์” นักการเมือง จากรัฐเคนทักกี ผู้ทรงอิทธิพลและมีบารมีมากที่สุด โดยเขาดำรงตำแหน่งผู้นำของค่ายพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาติดต่อกันมาอย่างยาวนานถึง 13 ปี อีกทั้งภรรยาเชื้อสายจีนของเขาก็ยังดำรงอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานอีกด้วย ครั้งที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ยังดำรงอยู่ในตำแหน่ง วุฒิสมาชิกมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นี้ก็ได้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับโอบามาอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการแต่งตั้งผู้พิพากษา โดยแมคคอนเนลล์จะคัดค้านบล็อคการรับรองผู้พิพากษาคนที่ประธานาธิบดีโอบามายื่นเสนอไป ผิดกับสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ที่วุฒิสมาชิกแมคคอนเนลล์กลับผลักดันช่วยเหลืออย่างสุดโต่งให้ผู้พิพากษาได้รับการรับรองสูงถึง 185 คนผ่านแบบฉลุย!!! เมื่อหันมาพูดถึงความร้ายกาจในแนวทางปฏิบัติทางการเมืองของวุฒิสมาชิกแม็คคอนเนลล์แล้วนั้น ถือเป็นเรื่องปกติเพราะผู้คนในสภาคองเกรสต่างรู้เช่นเห็นชาติกันเป็นอย่างดี!!! ทั้งนี้วุฒิสมาชิกแม็คคอนเนลล์กำลังจับมือประสานงานอย่างแข็งขันร่วมกับทำเนียบขาว ที่เขายังได้ออกมาป่าวประกาศอย่างโจ่งครึ่มว่า “จะไม่ยอมให้ประธานาธิบดีทรัมป์หลุดออกจากตำแหน่ง”โดยเขายอมที่จะเอาชีวิตทางการเมืองเป็นหลักประกัน จึงมีผลทำให้ขณะนี้คะแนนนิยมของเขาในรัฐเคนทักกีตกฮวบลง จนไม่แน่ใจว่าเขาจะได้รับเลือกอีกในสมัยหน้าหรือไม่!!! แต่วุฒิสมาชิกแมคคอนเนลล์กลับเมินมิสนใจไยดีต่อผลการหยั่งเสียงของซีเอ็นเอ็นล่าสุดที่ออกมาเปิดเผยว่า คนอเมริกันถึง 51% ต้องการที่จะให้มีการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตามเนื่องจากวุฒิสมาชิกแมคคอนเนลล์คิดว่าตนเองมีอิทธิพลอย่างมากที่เขาสามารถจะตั้งกฎเกณฑ์ในการไต่สวนคดีถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ใดๆก็ได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้เขาออกมาประกาศสั่งการไม่อนุญาตให้มีพยานหน้าใหม่เพิ่มเติมในการไต่สวนอีกต่อไปแล้ว แม้กระทั่ง “จอห์น โบลตัน”อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ถูกสั่งปลดออกจากตำแหน่ง แม้ว่าโบลตันจะออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ว่า “ข้าพเจ้าพร้อมที่จะไปให้ปากคำ หากข้าพเจ้าได้รับคำสั่งจากศาล” โดยจะเห็นได้อย่างเด่นชัดว่าที่ผ่านมา จอห์น โบลตัน ไม่เคยให้ความร่วมมือกับพรรคเดโมแครตแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อวันอังคารที่เพิ่งผ่านมานี้ วุฒิสมาชิกแมคคอนเนลล์ได้วางตัวเป็นจอมบงการสั่งให้วุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันทั้งหมด 53 เสียง ทำการคว่ำข้อเสนอแก้กฎเกณฑ์ของค่ายพรรคเดโมแครตทั้งหกรวมทั้งข้อเสนอที่จะให้มีการส่งมอบเอกสารประกอบการไต่สวนด้วยคะแนนเสียง 53 ต่อ 47 เสียง จึงมีผลทำให้เรื่องนี้ถูกตีความไปว่า วุฒิสมาชิกแมคคอนเนลล์ต้องการจะช่วยปกปิดข้อมูล ที่อาจจะโยงใยจนเป็นผลทางด้านลบต่อประธานาธิบดีทรัมป์ นอกเหนือจากนั้นแล้ว แมคคอนเนลล์ก็ยังออกมาเสนอให้มีการย่นระยะเวลาการไต่สวนให้เหลือน้อยที่สุด ต่างจากเมื่อครั้งประธานาธิบดีบิล คลินตันที่ใช้เวลาตัดสินนานถึงเดือนกว่าๆ อนึ่งขณะนี้วุฒิสมาชิกหลายๆคนของพรรครีพับลิกันกำลังอยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยงต่อการเลือกตั้งจากพฤติกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์ เช่น “วุฒิสมาชิกโครีย์ การ์ดเนอร์” จากรัฐโคโลราโด “วุฒิสมาชิกซูซาน โคลลินส์” จากรัฐเมน รวมไปถึง “วุฒิสมาชิกมาร์ทา แมคแซลลีย์” รัฐแอริโซนาที่อาจจะหันไปสนับสนุนพรรคเดโมแครตก็ได้ ถึงแม้ว่าขณะนี้วุฒิสมาชิกแมคคอนเนลล์จะถือไพ่เหนือกว่าเป็นต่อและได้เปรียบในกระบวนไต่สวนก็ตาม แต่ก็เห็นได้อย่างค่อนข้างเด่นชัดเลยว่าเล่ห์เหลี่ยมของเขาในครั้งนี้สวนทางกับความคิดเห็นของคนอเมริกัน ดังเช่นผลการหยั่งเสียงของซีเอ็นเอ็นล่าสุดนี้ที่รายงานออกมาว่า คนอเมริกันถึง 69% เห็นชอบในการที่จะมีการเพิ่มพยานหน้าใหม่ๆไปให้ปากคำและความคิดเห็นต่อสภาผู้แทนราษฎร !!! และจากการสำรวจของซีเอ็นเอ็นโพลยังปรากฏเพิ่มเติมอีกว่า ขณะนี้สมาชิกค่ายพรรครีพับลิกันทั่วสหรัฐฯเสียงแตกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดย 48% เห็นควรให้มีพยานหน้าใหม่ในการไต่สวน และอีก 44% กลับไม่เห็นด้วย!!! ทั้งนี้เรื่องกระบวนการไต่สวนในวุฒิสภาครั้งนี้ มีผลทำให้คนอเมริกันแตกแยกออกเป็นสองฝักสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด โดยสมาชิกของพรรคเดโมแครตถึง 89% เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ควรจะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ส่วนสมาชิกของพรรครีพับลิกันมีเพียง 8% เท่านั้นที่เห็นด้วย อย่างไรก็ตามในภาพรวมแล้วคนอเมริกันถึง 58% เชื่อว่าประธานาธิบดีทรัมป์ละเมิดต่ออำนาจหน้าที่ และอีก 57% ชี้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์กระทำความผิดต่อกระบวนการยุติธรรม อนึ่ง “ผู้พิพากษาจอห์น โรเบิร์ตส์” แห่งศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ซึ่งรับหน้าที่ประธานของการไต่สวนในครั้งนี้ โดยมีวุฒิสมาชิกทั้งหมด 100 คนทำหน้าที่เป็นคณะลูกขุน ซึ่งการที่จะสามารถถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ได้นั้นจะต้องมีเสียงข้างมาก 2 ใน 3 หรือถือเป็น 67 คะแนนเสียง อย่างไรก็ตามเป็นไปไม่ได้เลย ที่พรรคเดโมแครตจะสามารถดึงเอาคะแนนเสียงของวุฒิสมาชิกในค่ายพรรครีพับลิกันถึง 20 คน ให้เปลี่ยนใจหันกลับไปเป็นพวกตน เพื่อที่จะคะแนนเหล่านั้นมารวมกันใช้ในการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ให้กระเด็นออกจากตำแหน่ง!!! กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นถึงแม้ว่าครั้งนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะไม่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งก็ตาม แต่แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้คงจะกลายเป็นแผลทางการเมืองที่คู่แข่งขันในพรรคเดโมแครตจะสะกิดแผลเก่าของเขาให้เลือดอาบแล้วรีไซเคิลนำกลับมาโจมตีอีกละครับ