GUNKUL คึกคักคว้างานก่อสร้างอาคารให้เช่าและติดตั้งระบบผลิตโรงไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อป กำลังการผลิตติดตั้ง 437.4 กิโลวัตต์จากเทสโก้ โลตัส มูลค่า 584.31 ล้านบาท ระบุจากนี้ไปจะเดินหน้าผลักดันธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น เตรียมยื่นประมูลบิ๊กโปรเจค พร้อมส่งสัญญาณผลงานปี63 ลุ้นทำสถิติสูงสุดใหม่แตะ 9,000 ล้านบาท หรือโตไม่ต่ำกว่า 25% น.ส.โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า บริษัท กันกุล อินฟินิท กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือได้ร่วมลงนามสัญญาเพื่อก่อสร้างอาคารให้เช่า พร้อมติดตั้งระบบผลิตโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 437.4 กิโลวัตต์กับบริษัทเอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จํากัด (เทสโก้ โลตัส) และได้ลงนามสัญญาการเช่าช่วงที่ดิน เช่าอาคาร โครงการบางกะดี และโครงการสมุทรปราการ มูลค่ารวมภาษีมูลค่าเพิ่มประมาณ 584.31 ล้านบาทโดยกำหนดระยะเวลาก่อสร้างนับจากวันลงนามในสัญญาจำนวน 240 วัน “การที่บริษัทกันกุล อินฟินิท กรุ๊ป ได้รับงานก่อสร้างอาคารให้เช่า พร้อมติดตั้งระบบผลิตโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังติดตั้ง 437.4 กิโลวัตต์ จากเทสโก้ โลตัส แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจในศักยภาพของบริษัท ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของกลุ่มบริษัท และถือเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ที่สำคัญซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในอนาคตเติบโตมากขึ้น” สำหรับทิศทางธุรกิจปี 2563 กลุ่มบริษัทฯยังคงมุ่งเน้นผลักดันให้ผลการดำเนินงานในทุกภาคส่วนเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2562 ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตในส่วนของอัตรากำไรสุทธิ หรือรายได้รวม โดยตั้งเป้ารายได้รวมจะทำสถิติสูงสุดใหม่แตะ 9,000 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 25%จากปีก่อน เนื่องจากมีโครงการที่คาดว่าจะเปิดดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) อีกประมาณ 120 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งในประเทศ โครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศมาเลเซีย และโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กับภาคเอกชน โดยปีนี้จะเป็นปีที่รายได้ และกำไรมีการเติบโตอย่างโดดเด่นอีกปีหนึ่ง ขณะที่มีแผนเข้าร่วมประมูลงานโครงการใหม่ๆ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้งานประมาณ 30% ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้งานในมือ (Backlog) มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 8,000 ล้านบาท และจะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ผลการดำเนินงานปี 2563 แข็งแกร่ง โดยสัดส่วนรายได้ในปีนี้จะมาจากธุรกิจพลังงานของกลุ่มบริษัทประมาณ 60-65% จากปัจจุบันอยู่ที่ 80% ขณะที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะเพิ่มเป็น 35-40% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% ของรายได้รวม เนื่องจากปี 2563 จะมีการรับรู้รายได้จากงานรับเหมาก่อสร้างเข้ามามากขึ้น