ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย วันที่ 15 มกราคม ปีนี้ เป็นวันหยุดแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการให้เกียรติกับดร.มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ซึ่งถูกสังหารจากคนผิวขาวที่เชื่อว่าตนเองมีสถานะที่สูงส่งกว่าคนผิวสี โดยเฉพาะคนผิวดำ คนผิวขาวดังกล่าวมักอ้างตนว่าเป็นคริสเตียน แต่ก็ไม่เคยทำความเข้าใจกับพระคัมภีร์ไบเบิลที่ยืนยันว่ามนุษย์ทุกคนล้วนสืบเชื้อสายมาจากอดัมที่พระเจ้าทรงสร้างมาจากดิน ดังนั้นไม่ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะผิวสีอะไร ต่างก็เป็นพี่น้องกัน ซึ่งปัจจุบันวิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามนุษย์มีผิวสีแตกต่างกันก็เพราะสภาพแวดล้อมของภุมิอากาศในแต่ละทวีปนั่นเอง นี่ก็เป็นอีกบริบทหนึ่งของความสุดโต่งทางศาสนาที่คิดว่าตนเองมีศรัทธาแต่ไม่เข้าใจแก่นแท้ของศาสนาเลย ซึ่งในศาสนาคริสต์นั้นเน้นในเรื่องของความรักในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ด้วยพระเจ้าทรงรักมนุษย์ ถึงกับมีพระบัญญัติว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” ดร.มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 1929 และถูกสังหารเมื่อวันที่ 4 เมษายน 1968 ที่หน้าโรงแรมลอเรน เมืองเมมฟิส อันเป็นสถานที่ท่านพักในระหว่างเดินทางรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมกันทางสีผิว แต่คนผิวขาวบางคนทนไม่ได้จึงได้ทำการสังหารท่านด้วยอาวุธปืน ซึ่งในตอนนั้นท่านมีอายุเพียง 39 ปี แม้ว่าดร.มาติน จะได้รับการขนานนามว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษย์ชน นั่นคือความเท่าเทียมกันทางสีผิว หรืออีกนัยหนึ่งคือเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมของคนผิวดำ แต่ท่านก็ยังเป็นนักต่อสู้เพื่อคนยากจนอีกด้วย ทั้งนี้เพราะคนผิวดำในยุคนั้นส่วนใหญ่ก็ยากจนอย่างยิ่ง จึงต่อสู้เพี่อความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจด้วย นอกจากนี้ท่านยังวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯในเรื่องสงครามเวียดนามอย่างหนัก โดยเฉพาะคำปราศรัยในหัวข้อ “Beyond Vietnam” ที่ท่านพูดไว้ ณ โบสต์ริเวอร์ไซด์มหานครนิวยอร์คเมื่อวันที่ 4 เมษายน 1967 และคำปราศัยสุดท้าย “ I’ve Been to the Mountaintop” เมื่อวันที่ 3 เมษายน 1968 ก่อนถูกสังหารในวันรุ่งขึ้น ซึ่งท่านได้ประณามรัฐบาลสหรัฐฯว่า เป็นสุดยอดของผู้จัดส่งความรุนแรง ซึ่งดร.มาติน ถูกนิตยสารไลฟ์ประชดว่า ช่างเหมือนกับการนำเสนอของวิทยุฮานอย ส่วนวอชิงตันโพสวิจารณ์ว่าคำปราศรัยของดร.มาตินทำให้เขาลดคุณค่าของตนเอง คุณค่าของประเทศ และคุณค่าของประชาชนชาวอเมริกัน เข้าทำนองเป็นพวกชังชาติอย่างนั้นแหละ เนื้อหาสำคัญที่ดร.มาติน พูดถึงก็คือการเข้าไปแทรกแซงและสนับสนุนการปกครองในระบอบเผด็จการของ โง ดินห์เดียม ที่เข่นฆ่าสังหารฝ่ายตรงข้าม และมีการคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร ที่สุดเมื่อมีการกดดันให้มีการเลือกตั้งก็เป็นการเลือกตั้งที่สกปรกสุดๆไปเลย ทำให้โฮจิมินห์ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากประชาชนชาวเวียดนาม และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเวียดนามเหนือที่จะนำภารกิจไปสู่การรวมชาติ ดังนั้นการเข้าแทรกแซงทางทหารของสหรัฐฯ ด้วยการส่งกองกำลังเข้าไปในเวียดนาม จึงกลายเป็นชนวนสงครามยืดเยื้อเพราะเวียดนามเหนือก็ส่งคนเข้ามาต่อสู้เช่นกัน นี่ยังไม่ต้องไปพิจารณาว่าสหรัฐฯทำการละเมิดข้อตกลงเจนีวา ว่าด้วยกองกำลังต่างชาติ และก่อนที่จะเกิดการสู้รบใหญ่ทางเวียดนามเหนือขอให้มีการเจรจาเพื่อสันติสุข แต่ไม่มีการตอบรับ สิ่งเหล่านี้ผู้นำและรัฐบาลไม่เคยบอกความจริงประชาชนเลย ในทางตรงข้ามกลับมีการปลุกระดมว่าสหรัฐฯส่งทหารไปเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ และต่อสู้เพื่อเสรีภาพของชาวเวียดนามใต้อันเป็นสิ่งที่สหรัฐฯที่อ้างตนว่าเป็นผู้นำแห่งโลกประชาธิปไตยที่ต้องเข้ามามีบทบาทในการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนชาวโลก ขณะที่รัฐบาลอเมริกันพูดเรื่องเสรีภาพและสันติภาพก็ส่งฝูงบินไปถล่มเวียดนามเหนือย่างยับเยิน ดร.มาติน ยังอ้างคำกล่าวของผู้นำทางศาสนาพุทธในเวียดนามว่า “ทุกๆวันมีแต่สงครามบนพื้นฐานของความเกลียดที่เพิ่มขึ้นในจิตใจของผู้คน รัฐบาลอเมริกันกดดันแม้แต่มิตรให้กลายเป็นศัตรู ที่สำคัญแม้อเมริกันจะชนะสงครามทางกายภาพ แต่สหรัฐฯแพ้สงครามจิตวิทยาและการเมืองโดยสิ้นเชิง ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯที่เคยปรากฏมาในอดีต คือ ผู้นำในการปฏิวัติประชาธิปไตยและเสรีภาพ กลับกลายไปเป็นภาพลักษณ์ของความรุนแรง ก้าวร้าวด้วยอำนาจทางทหาร นี่เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่ดร.มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ กล่าวคำปราศรัย ก่อนถูกสังหาร ซึ่งในช่วงเวลานั้นสาธารณะถูกปลุกกระแสโดยสื่อหลักบางสื่อว่าท่านเป็นคนชังชาติ แต่ถ้าพิจารณาคำกล่าวปราศรัยของท่านอย่างละเอียด โดยปราศจากอคติ จะพบว่าท่านพยายามเตือนรัฐบาลสหรัฐฯถึงจุดยืนของชาติ หลักการของประชาธิปไตยเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ของสหรัฐฯในยุคประกาศเอกราชจากอังกฤษ จวบจนมาถึงยุคสงครามกลางเมืองที่เกิดจากความขัดแย้งในหลักการสิทธิมนุษยชน นั่นคือการเลิกทาส น่าเสียดายที่ท่านถูกสังหารเสียก่อน ด้วยฝีมือคนผิวขาวที่คิดว่าตนเองเหนือกว่าคนผิวดำ และใช้มาตรการต่างๆที่จะกดขี่และแบ่งแยกในทุกๆเรื่อง เช่น ด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล และการใช้บริการสาธารณะ ทุกวันนี้สหรัฐฯมาไกลจากจุดยืนเบื้องต้นในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเสมอภาค แต่ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯคือ ผู้กระหายสงคราม นักล่าอาณานิคม และผู้นิยมใช้กำลังทางทหารที่ตนเองมีสถานะเหนือประเทศอื่น เพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มที่ควบคุมบังเหียนรัฐบาล ที่เรียกว่า รัฐลึก “Deep State” โดยการใช้ประโยชน์จากความไร้เดียงสาของประชาชนที่ถูกมอมเมาด้วยข้อมูลข่าวสารที่ถูกบิดเบือน ตราบใดที่คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนผิวขาวที่เชื่อมั่นว่าตนมีความเหนือกว่าคนผิวสีอื่น ตราบใดที่ชนเหล่านี้ยังไม่เปิดหูเปิดตาดูโลกกว้าง ตราบใดที่ยังคับแคบไม่ยอมรับความแตกต่าง ตราบนั้นสหรัฐฯก็จะยังคงมีภาพลักษณ์ของอสูรกายที่คอยคุกคามชาวโลก และสหรัฐฯก็คงจะได้ประธานาธิบดีอย่างทรัมป์ไปอีกนานแสนนาน สำหรับประเทศไทยนั้น เราเคยมีนักต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เพื่อความเท่าเทียมกันทางสังคมหลายท่าน และหลายท่านก็ถูกอุ้มหายไป หรือถูกลอบสังหาร อย่างเช่น นายใช่ วังตะกู ผู้นำชาวนาชาวไร่ นายทนง โพธิ์อ่าน ผู้นำกรรมกร หรือถ้าย้อนไปไกลกว่านั้น เช่น นายครอง จันดาวงศ์ และจิตร ภูมิศักดิ์ ที่ต่อสู้ด้วยปลายปากกาก็ยังถูกสังหาร แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆ ชื่อเสียงของคนเหล่านั้นจึงไม่โด่งดังเหมือน ดร.มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ กระนั้นก็ตามผู้เขียนก็ขอคารวะท่านเหล่านั้น และมั่นใจว่าสักวันเมื่อประชาชนได้บรรลุถึงสัจจธรรม เขาก็จะร่ำร้องสรรเสริญบุคคลเหล่านั้นในอดีตที่ไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไร แต่ความคิดของเขายิ่งใหญ่นัก