“ส.ส.ชาติพันธุ์ อนาคตใหม่” ร่วมถกเวที "กมธ.ชาติพันธุ์" - ชี้ปัญหากฎหมายที่ดิน 3 ฉบับกดทับวิถีชีวิต- อัตลักษณ์ "ณัฐวุฒิ" อัดกฎหมายที่ไม่ได้มาจาก ปชช. จะมีความ "ยุติธรรม" ได้อย่างไร วันที่ 20 ม.ค.2563 ณ ห้องประชุมนรสิงห์ วิทยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ คณะกรรมาธิการกิจการเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฏร จัดเวทีเสวนาศึกษาปัญหาของกลุ่มคนชาติพันธุ์ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายการส่งเสริม และอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย โดยมี นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะรองประธานกรรมาธิการ นายณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะที่ปรึกษากรรมาธิการ และนายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ร่วมเสวนาในเวทีดังกล่าวด้วย นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องสถานะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิทธิขั้นพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งสิทธิที่เค้าจะเติบโตขึ้นมา และดำรงอัตลักษณ์ของความเป็นชาติพันธุ์ได้ ด้วยเหตุดังกล่าว คณะกรรมาธิการชุดใหญ่จึงได้ตั้งอนุกรรมาธิการชุดหนึ่ง ศึกษาปัญหาเฉพาะเรื่องของชาติพันธุ์ เมื่อเราศึกษาเราพบปัญหาอยู่ 2 ประการ 1.เราพบว่าวันนี้ยังไม่มีกฎหมายที่พูดถึงการรับรอง การยอมรับ การคุ้มครองสิทธิ์ของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นการเฉพาะ 2.เราพบว่าเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา มีการบังคับใช้กฎหมายอยู่ 3 ฉบับคือ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ​ พ.ร.บ.​สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า​ และ พ.ร.บ.​ป่าชุมชน ในอดีตกฎหมายแนวนี้จะต้องเกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน เพราะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่กฎหมายที่ออกมาในครั้งนี้ กลับไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชน "เวทีเสวนาในวันนี้ เสียงสะท้อนที่ได้ยินมากที่สุดคือ กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ขาดการมีส่วนร่วมโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในป่าของกลุ่มชาติพันธุ์อย่างชัดเจน อีกทั้งกฎหมายที่ออกมาพบว่า ไม่มีการคุ้มครองสิทธิของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เมื่อเสียงสะท้อนออกมาแบบนี้ กฎหมายที่ไม่ได้มาจากประชาชน จะเป็นกฎหมายที่มีความยุติธรรมได้อย่างไร และสิ่งสำคัญที่สุดก้คือว่า ผมอยากให้ทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยเข้าใจว่า เราเป็นประเทศที่มีความหลากหลายของชาติพันธุ์ เป็นประเทศที่มีพหุวัฒนธรรม ดังนั้นการที่เราจะเติบโตขึ้นไปด้วยกัน คือการเคารพสิทธิของทุกคน และเราต้องไม่ทอดทิ้งใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไว้ข้างหลัง" นายณัฐวุฒิ กล่าว ด้าน นายณัฐพล กล่าวถึงปัญหาของพรบ.ทั้ง 3 ฉบับนี้ว่า จากที่ชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์อยู่กันแบบปกติสุขมาหลายชั่วอายุคน แต่ต่อจากนี้ภายใน 240 วัน หากผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตป่า ในพื้นที่ที่รัฐขีดเส้นว่าเป็นป่าสงวนหรืออุทยาน หากไม่มาขึ้นทะเบียนยืนยันเขตที่อยู่อาศัยกับทางรัฐ ก็จะไม่มีสิทธิ์ใช้ที่ดินตรงนั้นเพื่ออยู่อาศัยหรือทำมาหากินได้เลยแม้จะอยู่มาหลายชั่วอายุคนแล้วก็ตาม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ระยะเวลา 240 วันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะทำให้ทุกครอบครัวที่อยู่ในเขตป่ามาลงทะเบียนได้ครบ ยังมีกลุ่มคน หรือชุมชนชายขอบติดชายแดนอีกมากมายที่การสื่อสารยังเข้าไม่ถึง นอกจากนั้นหากผู้ที่ลงทะเบียนยืนยันที่ดินแล้วนั้น ก็จะตกอยู่ในสถานะของผู้เช่าที่ดินไปตลอดกาลในชาตินี้ พรบ.ทั้ง 3 ฉบับนี้ กดทับวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ความเป็นอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ และพี่น้องคนที่ทั่วประเทศที่อาศัยอยู่ในเขตที่รัฐขีดเส้นว่าเป็นป่าสงวน กฎหมายทั้ง 3 ฉบับนี้ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้น ด้าน นายมานพ กล่าวว่า ตอนนี้ชาวบ้านยังไม่รู้ถึงข้อกฎหมาย พ.ร.บ. ทั้ง 3 ฉบับที่รัฐพึ่งประกาศใช้ไปในปีที่ผ่านมาและตอนนี้มีผลบังคับใช้แล้ว มีชาวบ้านรับรู้ข้อกฎหมายเป็นอัตราส่วนที่น้อยมาก เมื่อก่อนนี้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตป่า จะติดตามข่าวพรบ.ป่าชุมชนอยู่เสมอ เพื่อต่อสู้และต้องการให้เป็นพรบ.ป่าชุมชนแบบที่ชาวบ้านเสนอ แต่ก็ถูกปัดตกอยู่ทุกครั้งไป เพราะฉะนั้นรัฐหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบจำเป็นที่จะต้องทำให้ชาวบ้านเข้าใจ จำเป็นจะต้องชี้แจงข้อกฎหมายต่อชาวบ้าน อาจสื่อสารในรูปแบบที่ชาวบ้านเข้าใจได้ง่ายและชัดเจน อาจเป็นการทำคลิปวีดีโอเพื่อทำความเข้าใจกฎหมาย ไปจนถึงเจ้าหน้าที่รัฐลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับชาวบ้านโดยตรง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเวทีเสวนาในวันนี้เกิดจากการผลักดันของนายณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์ ส.ส.กลุ่มชาติพันธุ์ของพรรคอนาคตใหม่ และสภาชนเผ่าพื้นเมือง จากการที่ชนเผ่าชาติพันธุ์ได้รับผลกระทบจากกรณีที่รัฐ ประกาศใช้พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 และพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ.2562 นอกจากนี้เพื่อเป็นการรณรงค์สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบาย และกฎหมายที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง