เป้าหมายการโจมตีของ “พรรคอนาคตใหม่” เพื่อดิ้นรนเอาชีวิตให้รอดจากสังเวียนการเมืองในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าต้องการพุ่งหอกดาบไปยัง “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” รวมทั้งการหา “ความผิด” อันเกิดจาก “พรรคการเมืองอื่น” เพื่อเป็น “อาวุธ”ในการตอบโต้ สวนกลับ สู้กับคดีความที่ทั้ง “หัวหน้าพรรค” ตลอดจน“พรรคอนาคตใหม่”กำลังเผชิญหน้า คดีความที่เป็นเหมือนหอก จ่อคอพรรคอนาคตใหม่ และถูกคาดหมายกันไปไกลถึงขั้นที่ว่า จะมีพรรคอนาคตใหม่บนถนนสายการเมืองได้อีกต่อไปหรือไม่ คือคดีการล้มล้างการปกครอง โดย “ศาลรัฐธรรมนูญ” ได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 21 ม.ค.63นี้ โดยดังกล่าวมี “ณฐพร โตประยูร” อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย “ยุบพรรคอนาคตใหม่” เนื่องจากมีพฤติการณ์ ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผู้ถูกร้องประกอบด้วย “ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค และ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค รวมทั้งกรรมการบริหารพรรค แต่ดูเหมือนว่า เวลานี้ทั้งธนาธรและแกนนำพรรค กลับยังมีความหวังว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ออกมาในทางร้าย ตามที่ “กองแช่ง” หวังที่จะได้เห็นพรรคอนาคตใหม่โดนยุบ อีกทั้งแกนนำยังมั่นใจว่า คำร้องในคดีล้มล้างการปกครองนั้น ยังไม่มีน้ำหนักมากพอ ไม่มีเหตุผลมารองรับ ทว่าคดีที่กำลังทำให้ แกนนำของพรรคพากันอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “นั่งไม่ติด” กลับกลายเป็นเงื่อนปมจากคดีเงินกู้ 191ล้านบาทอย่างเห็นได้ชัด เมื่อ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ กรณีธนาธร หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ให้พรรคกู้เงิน 191ล้านบาทตั้งแต่เมื่อปลายปี2562ที่ผ่านมา ยิ่งเมื่อ มือกฎหมายประจำพรรคอย่าง ปิยบุตร งัดไพ่ใบสำคัญด้วยการนำเอกสารภายในของกกต.มาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนเพื่อตั้งคำถามกลับไปยังกกต.ว่ามีธงอยู่แล้วที่จะเดินหน้าเอาผิดพรรคอนาคตใหม่ด้วยคดีเงินกู้ 191 ล้านบาทให้จงได้ ควบคู่ไปกับการออกมาเคลื่อนไหวของ “อดีตกกต.” อย่าง “สมชัย ศรีสุทธิยากร” ที่เปิดประเด็น “18 พรรคการเมือง” ที่มีการกู้ยืมเงิน เพื่อนำมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า หาก กกต. ชี้ว่าพรรคอนาคตใหม่มีความผิด อีก 18 พรรคการเมืองก็ต้องเข้าข่ายความผิดไม่ต่างกัน การเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่ เพื่อโจมตีไปยังเป้าหมายสำคัญคือกกต.ได้เริ่มเปิดฉากมาตั้งแต่เมื่อเดือนธ.ค.2562 ที่ผ่านมาโดย พรรคได้ส่งทนายความไปยื่นฟ้อง กกต.ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2562 กรณีที่เห็นว่า กกต.ใช้อำนาจโดยมิชอบ ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ต่อมาปิยบุตร เปิดเกม “เอาคืน”กกต.ด้วยดาบที่ 2 โดยการนำเอกสารที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับการพิจารณากรณีที่พรรคอนาคตใหม่ถูกร้องเรียนว่ากระทำผิดในการกู้เงินจากหัวหน้าพรรค พร้อมทั้งโดยยืนยันว่าเป็นเอกสารจริงของกกต. ที่หลุดออกมา ซึ่งปรากฏลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยชี้ให้เห็นว่า กกต.ทำการข้ามขั้นตอน ยัดความผิด จงใจที่จะยุบพรรคอนาคตใหม่ “จะเห็นได้ชัดเจนว่าหลักฐานที่ผมยกมาทั้งหมด คดีเงินกู้พรรคอนาคตใหม่ คณะที่ 13 มีมติยกคำร้องด้วยมติเอกฉันท์ ดังนั้นเรื่องนี้ต้องจบตั้งแต่คณะที่ 13 แล้ว กกต.เดินหน้าต่อไม่ได้ แต่ กกต.ดันทุรังจะเอาให้ได้ แล้วยังมายัดข้อหาเพิ่มให้กับพรรคอนาคตใหม่ในนาทีสุดท้ายคือ มาตรา 72 เพียงเพราะต้องการยุบพรรคอนาคตใหม่ให้ได้ ใช่หรือไม่”(10 ม.ค.2563) นอกจากนี้ปิยบุตรยังระบุด้วยว่า จะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญเปิดกระบวนการไต่สวนและเรียกเอกสารชุดนี้ของ กกต.ทั้งหมดเข้ามาพิจารณาในศาลรัฐธรรมนูญด้วยเพื่อให้พิสูจน์ว่า กกต.ทำผิดขั้นตอนจริงหรือไม่ แน่นอนว่าเมื่อปิยบุตร เปิดฉากรุกไล่ ทั้ง “7กกต.”ย่อมไม่อาจอยู่นิ่ง เพราะในเวลาต่อมา กกต.ได้ออกเอกสารเผยแพร่ชี้แจง หักล้างทุกประเด็นที่ปิยบุตร เสนอขึ้นมา โดยชี้ว่าปิยบุตรแถลงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ยืนยันว่ากกต.ทำทุกอย่างตามหน้าที่และกระบวนการขั้นตอน เป็นไปตามกฎหมายทุกอย่าง การดิสเครดิตกกต.ยังคงเดินต่อไปด้วยรูปแบบที่เรียกว่า “ตีขนาบ” กันไปทั้งมือกฎหมายของพรรคอย่างปิยบุตร ผสมกับห้วงจังหวะที่ สมชัย อดีตคนกกต. ออกมายกกรณี “18 พรรคการเมือง” ที่มีการกู้ยืมเงิน โดยแจงละเอียดยิบว่า มีพรรคไหน มียอดเงินกู้เท่าใด แต่ทำไปทำมา กลับกลายเป็นว่า สิ่งที่สมชัย นำมาเปิดเผย เพื่อหวังใช้ประเด็นของพรรคการเมืองอื่น เทียบเคียงความผิดกับพรรคอนาคตใหม่นั้น ได้ถูกโต้กลับด้วยคำชี้แจง สวนหมัดคืนเช่นกัน โดยยืนยันถึงความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีพรรคไหนที่มีพฤติกรรมเข้าข่าย “นิติกรรมอำพราง” เหมือนกับในรายของพรรคอนาคตใหม่ ที่กู้เงินจาก หัวหน้าพรรคชื่อ ธนาธร เพื่อนำมาใช้ในการหาเสียง พรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็น 1 ใน18 พรรคที่ถูกระบุถึง ได้ส่ง “ศุภชัย ใจสมุทร” โฆษกพรรค ออกมาชี้แจง ว่า พรรคภูมิใจไทยไม่เคยกระทำการใดๆที่ผิดกฎหมาย หรือนอกเหนือไปจากที่กฎหมายห้ามเอาไว้ โดยในส่วนของพรรคภูมิใจไทย คือมีเงินทดรองจ่าย เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในสำนักงานต่างๆ แต่ไม่ได้นำไปใช้ในการหาเสียง ขณะที่ทางด้าน “นิกร จำนง”ในฐานะผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ยืนยันเลยว่าตลอดระยะเวลา 20ปีที่นั่งบริหารพรรค นั้นไม่เคยกู้ยืมเงินแต่อย่างใด พรรคหาเงินเพื่อใช้ในกิจกรรมทางการเมืองผ่านการขอรับบริจาค และการระดมทุน ตามกฎหมายเลือกตั้งกำหนด ปฏิบัติการดิสเครดิต กกต. ในปมประเด็นที่เชื่อมโยงกับคดีเงินกู้ 191 ล้านบาท ที่กำลังขยับรุดหน้าไปอย่างเข้มข้นและเป็นระบบ ประสาน “มือกฎหมาย” ทั้งในพรรคอนาคตใหม่ ร่วมด้วย อดีตคนกกต. มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะต้องการให้เกิดน้ำหนักมากพอ จนนำไปสู่การตั้งคำถามกับ “7อรหันต์กกต.” ก่อนวันมีคำวินิจฉัย กำลังตอกย้ำว่า งานนี้ พรรคอนาคตใหม่ จะไม่ยอม “ตายเดี่ยว” อยู่พรรคเดียวนั้น อาจไม่ใช่เรื่องง่ายดาย หรือแค่ “ขยับหมาก”แล้วจะได้กินรวบทั้งกระดานอย่างที่คิดเสียแล้ว ยิ่งหากพรรคอนาคตใหม่ ตลอดจนแนวร่วม แนวรบนอกสภาฯ ที่ประกาศตัว “ไม่เอาลุง” จับเอาพรรคการเมืองอื่นๆมาเป็น “ตัวประกัน” ร่วมด้วย ยิ่งจะทำให้กลายเป็นเรื่องยาก มิหนำซ้ำยังอาจจะทำให้พรรคอนาคตใหม่ ต้อง “จั่วลม” แทน เพราะนอกจากจะไม่สามารถ “คว่ำ” ฝั่งตรงข้ามอย่าง กกต.ลงก่อนถึงวันมีคำวินิจฉัยคดีกู้เงิน 191 ล้านบาทแล้ว ยังจะกลายเป็นว่าอนาคตใหม่ เปิดศึก สร้างศัตรูทางการเมืองเพิ่มขึ้นมาโดยใช่เหตุ และหากวาดหวังว่าจะใช้ “การเมืองนอกสภาฯ” ด้วยการจัดอีเวนต์ “วิ่ง ไล่ ลุง” เพื่อต่อต้าน ขับไล่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ภาค 2หลังประเมินความสำเร็จจาก รอบแรกเมื่อวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมาได้แล้วอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ก็อาจจะเกิดอาการ “น็อคซ้ำ” เมื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ออกมาปรามเสียงกร้าวแล้วว่า อาจจะไม่ให้จัดงานวิ่ง ไล่ ลุง ในวันที่ 2 ก.พ.ที่เชียงใหม่ เพราะไม่ต้องการให้เกิดความแตกแยกขึ้น สถานการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ วันนี้แม้จะพยายามดิ้นสู้ในทุกทาง แต่ขณะเดียวกันก็กลับดูเหมือนว่าถูกสวนกลับ สกัดในทุกประตูเช่นกัน !