ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “นัยแห่งความเป็นมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ล้วนมีธาตุที่หลอมรวมเป็นองค์ประกอบของชีวิตอันแตกต่างหลากหลาย...ดีชั่วระคนกันตามแต่บทจรอันยอกย้อนของชีวิต มันคือความหมายที่อยู่เหนือความหมาย ที่เราทุกคนจำเป็นต้องตระหนัก/...ดี งาม จริงลวง เช่นไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการรับรู้ด้วยสัญชาตญาณของความตื่นรู้เฉพาะตนเป็นที่ตั้ง/ ราวกับว่าเราต่างเขียนบทบาทของตนเอาไว้กับโครงสร้างของความเป็นไปทั้งด้วยความรู้ตัวและไม่รู้ตัวอยู่เป็นนิจ/...เหตุนี้ภาพแสดงแห่งความเป็นตัวตนของมนุษย์ที่แท้จริงแล้ว จึงคล้ายดั่งการหมุนกลับข้างของโลก ซึ่งแสดงถึงเจตจำนงอันสลับซับซ้อนที่แอบซ่อนอยู่ในภวังค์สำนึกที่ทั้งทบซ้อนและยากจะตีความออกมาอย่างบางเบาและตื้นเขิน/...ชีวิตบอกกล่าวอะไรแก่เรามากมายในนามของความเป็นมนุษย์/..ดั่งนี้..การเขียนถึงชีวิตของใครสักคน/โดยผ่านกระบวนการของเจตจำนงอันจริงจังและบริสุทธิ์จึ่งเปรียบเป็นสัญญะอันกว้างไกลและลึกซึ้ง/ของโลกแห่งชีวิต../ที่สะท้อนภาพในภาพสะท้อนของจิตวิญญาณอันโลดทะยานไปสู่วัฏฏะแห่งวังวนของความเป็นเนื้อในแห่งสัจจะเสมอ”... ปรากฏการณ์ทางความคิดเบื้องต้นคือสาระแห่งจิตปัญญาที่ได้รับจากงาน “เขียนมนุษย์” อันเป็นมิติสร้างสรรค์แห่งนัยสำนึกที่เปี่ยมเต็มไปด้วยความแหลมคมทางด้านสาระเนื้อหา ที่ถือว่า เด็ดขาด ตรงไปตรงมา ภาษาสวย และชัดเจน ของ “ช่วง มูลพินิจ” ศิลปินแห่งชาติ จิตรกร และนักเขียน รางวัลนราธิปปีล่าสุด...ผู้เขียนลีลาชีวิตได้งดงามด้วยศรัทธาในตัวมนุษย์ ในวิถีตระหนักที่ว่า...มนุษย์และโลกย่อมถึงกาลพินาศล่มสลายได้ด้วยกิเลสที่บรรดา “ฝูงมนุษย์”ช่วยกันปรุงแต่ง “ฝูงมนุษย์ปัจจุบัน พากันยอมอยู่ในอำนาจแห่งความโลภ ไม่รับผิดชอบต่ออนาคตของโลก แต่กลับผลักภาระนี้ให้แก่เยาวชน..จะหวังอะไรเล่าจากลูกปู” ทัศนะเชิงเปรียบเทียบอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้คือแกนหลักแห่งมโนสำนึก..ที่ถูกสะท้อนออกมาอย่างมากหลาย มันคือสื่อสะท้อนถึงความเป็นเนื้อแท้แห่งความเป็นชีวิตของมนุษย์ ณ วันนี้ที่ขาดพร่องจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ แต่กลับจมปลักอยู่กับบ่วงแร้วแห่งชะตากรรมอันหยาบกระด้างด้วยอำนาจที่มืดดำ..มันคือวิถีแห่งกิเลสอันชวนวิพากษ์อย่างถึงที่สุด/เหตุดั่งนี้จึงนำไปสู่การป่วยไข้ของโลก...ที่บริโภคอยู่แต่ของแสลงอันเป็นวิกฤตินั้น “เมื่อโลกป่วยก็ควรงดของแสลงเพื่อให้ฟื้นจากอาการป่วยนั้น /ของแสลงของโลกคือกิเลส ความโลภอันหอมหวานเย้ายวนซึ่งมาในรูปของความเจริญชนิดต่างๆ เราอร่อยกับของแสลงมานานนักหนาแล้ว.. จงมาร่วมมือกันลดของแสลงคือความเจริญทางวัตถุลง เพื่อโลกอันประเสริฐแลบุตรหลานของเราในอนาคตกันเถิด” การมองไปถึงอนาคตด้วยการละกิเลสคือสิ่งที่ถูกเรียก จากเงื่อนไขของปัจจุบันที่ยับเยินไปด้วยความล่มสลาย..จากสำนึกที่มีค่า..ทั้งๆที่เราต่างตกอยู่กับวังวนแห่งการครอบงำที่ถาโถมเข้ามาครอบงำจิตวิญญาณของมนุษย์แล้วอย่างเบ็ดเสร็จ ประหนึ่งคนตาบอดที่ถูกลากจูงไปสู่ความร้อนแรงแห่งเปลวไฟ ที่ไม่มีโอกาสมองเห็น เป็นความเวทนาที่ติดตรึง หากหัวใจไม่ยอมรับรู้เพื่อจะนบน้อมสู่การเปลี่ยนแปลง “ผู้ที่เป็นพญามาร คือผู้ที่กิเลสตัณหาเข้าครอบงำแล้วอย่างสมบูรณ์ เขาย่อมมีรัศมีอันร้อนแรงพวยพุ่งงดงามต้องตาพึงใจต่อฝูงคน อันมีความปรารถนาในลาภ-ยศ แลฝูงพวกเขาย่อมนิยมบูชาแก่พญามารชนิดนี้ ผู้พิชิตชำนะมารคือกิเลสตัณหาแล้วรัศมีพวยพุ่งคือความร้อนแรงแห่งกิเลสตัณหาได้มอดดับลง เหลือแต่รังสีแห่งความเย็นดั้งเดิม ผู้ที่ฝักใฝ่ในลาภยศจึงหาแลเห็นไม่ แลพวกเขาจึงไม่นิยมบูชาแก่ผู้คนชนิดนี้” สาระแห่งข้อเขียน”มารารัศมี”ชิ้นนี้ถือเป็นการย้ำเตือนถึงต้นเค้าแห่งความหม่นมืดภายในใจมนุษย์..เพื่อให้ได้สดับรับฟังและมองเห็นถึงรากเหง้าแห่งความอุดมสมบูรณ์อันดีงามของชีวิตที่มีโอกาสจะถูกทำลายลง..นั่นคือภาวะแห่งความมีความเป็นที่เราทุกคนต้องระแวดระวังและต้องลงรากลึกถึงการเตือนตนอยู่เป็นนิจ “เมื่อพญามารคือกิเลสได้เจริญขึ้น ฝูงเขามีความปรารถนาและเชิดชูในทรัพย์นั้นนักหนา ฝูงเขาย่อมแสวงหาทรัพย์นั้นๆ โดยการทำลายรากเหง้าแห่งความสมบูรณ์ลงอย่างสิ้นเชิง” ในยามที่คนไทยเราต่างร่านระเริงอยู่กับภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่อย่างหลงลืมตนมาจนถึงช่วงเวลาแห่งปัจจุบันขณะที่สังคมตกอยู่ในสถานะแห่งความตีบตันในการอยู่รอดของชีวิตโดยองค์รวม ...ผลงาน”เขียนมนุษย์”ชุดนี้จึ่งถือเป็นผลงานที่ผลิงามและถูกสรรค์สร้างขึ้นเพื่อก่อให้เกิดการพินิจพิเคราะห์ให้เข้าถึงแก่นของความโลภ โกรธ หลง เป็นจินตนาการถึงคุณความดี ที่จะโอบประคอง และสามารถค้ำยันชีวิตด้วยพลังแห่งสัจจะ “อันตรายของโลกคือความเจริญจอมปลอม อันมนุษย์แต่งขึ้นด้วยอำนาจแห่งกิเลส../ฝูงเขาไม่ยอมเข้าใจในทุกข์สัจจะ พากันฟุ่มเฟือยในการครองชีวิตเพื่อหวังพบความสุขโดยการล้างผลาญโลกด้วยวิธีต่างๆ/..ปราสาทสามฤดูของเจ้าชายสิทธัตถะ จะยังความสุขที่แท้จริงล่ะหรือ?” คำถามถึง “ทุกข์สัจจะ” เปรียบได้ดั่งสะพานที่ทอดข้ามไปสู่แสงสว่าง..เราต้องมองเห็นความมืดดำของชีวิตด้วยความเข้าใจอันถ่องแท้ ความทุกข์อาจเป็นดั่งสหายในยามยาก ขณะที่มันก็สามารถเป็นศัตรูถาวรที่คอยทิ่มแทงเราได้ทุกเมื่อ/ ฤทธิ์เดชของมันนั้นมีพิษร้ายนัก...มันคือจุดกำเนิดของเหล่าเดรัจฉานวิชาที่สร้างฤทธิ์เดชอันชั่วร้ายให้เกิดแก่ชีวิตของโลก “เมื่อขาดธรรมะ คือความเข้าใจในธรรมชาติอย่างแท้จริง เดรัจฉานวิชาก็ถือกำเนิด นักบวชหาอุบายเพื่อจะมีอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ/...นักวิทยาศาสตร์ เมื่อขาดธรรมะคือความเข้าใจธรรมชาติอย่างแท้จริง เดรัจฉานวิชาในรูปของเทคโนโลยีก็ปรากฏเพื่อเอาชนะธรรมชาติ และโลกจะฉิบหายโดยเร็วเพราะเหตุนี้” เทคโนโลยี..แห่งยุคสมัยมันคือตัวทำลายล้างธรรมชาติ เป็นพญามารตัวใหญ่ ที่พร่าผลาญสถานะของโลกที่ควรจะเป็น ให้หมุนคว้างไปสู่หายนะ...โลกมีการดำรงอยู่ที่ผิดสถานะไป...ด้วยมิติแห่งความเป็นไปเช่นนี้..มันจึงเป็นมูลเหตุแห่งความซ้อนซ้ำที่ซ้ำซากของมนุษย์...ที่”ช่วง มูลพินิจ”ได้ระบุในเชิงวิพากษ์ว่ามันบังเกิดจาก “พยาธิจิต”..อันหมายถึงความโลภในลาภยศสรรเสริญ ทั้งสิ้น...ทางออกของมันก็คือว่า... “เมื่อใดที่ความโลภ-โกรธ-หลง ได้เพาะเชื้อขึ้นในความคิด ควรสังหารเสียด้วยความแหลมคมแห่งปัญญา..ซึ่งก็คือความเข้าใจในสิ่งเหล่านั้น” การใช้ปัญญาเป็นอาวุธคือสิ่งที่ “ช่วง มูลพินิจ” ใช้เป็นเครื่องส่องทางให้เห็นมรรคาแห่งการจัดการ “เขียนความเป็นมนุษย์” ขึ้นมาอย่างมีเป้าประสงค์หลัก ...มันคือแก่นรากของความดีงามที่ค่อยๆพลิกพิจารณาผ่านองค์ประกอบของชีวิต..อย่างละเอียดลออ/...ผ่านประสบการณ์ของอารมณ์โกรธ โลภ หลง/ไปสู่นิยามจินตนาการแห่งเยาวชน มุมมองของหนุ่มสาว เรื่องราวของโสเภณี ประเด็นอันแปลกแยกแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท และปมแห่งความเป็นประชาธิปไตยอันชวนคลางแคลงของประเทศ/ทั้งหมดในสิ่งทั้งหมดนั้น คือภาพสะท้อนในภาพสะท้อนของความเป็นจริง...ที่เข้าไปกระทบใจผู้สัมผัสรู้จนยากจะต่อต้านหรือคัดค้านประเด็นแห่งความจริงแท้นั้นๆ/การพุ่งเป้าของการวิพากษ์และเสียดแทงไปที่”ความโลภ”เป็นหลักใหญ่ดังที่ได้กล่าวถึงมาคือบทสรุปแห่งสำนึกที่ปรารถนาจะประกาศว่า..ระบบใดๆในโลกนี้ก็ไม่สามารถขจัดความโลภออกไปจากชีวิตของโลกได้ ../มีเพียงแต่สันติภาพเท่านั้น ที่พอจะยืนยันให้ประจักษ์ได้ว่า..มันคือภาวะแห่งความสงบแน่วแน่ที่ไม่หวั่นไหวต่อลาภสักการะใดๆอันถือเป็นแก่นอันจริงแท้ของฝูงมนุษย์ “ทุกคนรู้ว่าอันตรายของสิ่งแวดล้อม เกิดจากความโลภ แต่ความโลภซึ่งแฝงมาในรูปของความเจริญได้เป็นแก่นแท้ของมนุษย์เสียแล้วพวกเขาจะทำอะไรได้...” และครั้นเมื่ออารยธรรมแห่งความโลภแพร่ขยาย เขตแดนแห่งความรักก็สิ้นสุดลง /ฝูงบุพการีย่อมขาดเมตตาอันประเสริฐ...แน่นอนว่าเขาย่อมขายบุตร-ธิดา เพื่อทรัพย์สนองแก่ความโลภนั้น..มันคืออุบัติการณ์แห่งการก่อเกิดโสเภณีขึ้นกับโลกด้วยความหมายแห่งการเป็นสินค้าที่สิ้นความเป็นอารยะไปอย่างไม่น่าเชื่อ.. “แท้จริงความจนทรัพย์ มิได้ทำให้เกิดโสเภณี เหตุเพราะธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์นั้นผ่องใสรุ่งเรืองยิ่งนัก ฝูงเขารู้จักกินรู้จักอยู่แต่เพียงพอดี แลรู้จักสืบชาติพันธุ์เพียงเพื่อดำรงไว้/ครั้นเมื่ออารยธรรมแห่งความโลภเข้าครอบงำ ทำให้เศรษฐกิจดี ฝูงเขาพากันหาทรัพย์ไว้บำเรอกิเลสอันเศร้าหมองได้นักหนา แลใช้การสืบพันธุ์เป็นการบันเทิงเริงรมย์ /นี่คือสาเหตุแห่งการเกิดโสเภณีที่แท้จริง”.. โลกสมัยใหม่...กลายเป็นต้นตอแห่งอารยธรรมที่ผิดแปลก..มันดำเนินไปด้วยหัวใจของความหยาบช้าภายใต้วัฏฏะของโลก ณ วันนี้/วิถีแห่งอุตสาหกรรมเกิดขึ้นและกลายเป็นต้นตอของอารยธรรมแห่งความโลภ/...ครั้นเมื่อมันสามารถเข้าครอบงำมนุษย์ได้สำเร็จ..ความเมตตาก็จะสิ้นสูญไปจากหัวใจมนุษย์จนสิ้นซาก/อุตสาหกรรมทั้งหลายในทุกหนแห่ง จะกักขังบังคับเด็กเพื่อเอาสินทรัพย์จากแรงเด็กนั้นด้วยใจอันต่ำช้ายิ่งนัก..นี่คือบาดแผลของความเป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม”ที่อยู่ในคราบของชีวิตที่คล้ายเหมือนว่าจะสมบูรณ์อย่างยากจะปฏิเสธได้... “ฝูงคนในโลกผู้ปรารถนาความร่ำรวย เกินความจำเป็นที่แท้จริงของชีวิตก็เพราะความโลภ พวกเขาพากันถือเอาความร่ำรวยมหาศาลเป็นความสำเร็จ และพากันเลือกเอาคนชนิดนี้มาเป็นตัวแทนความโลภของพวกเขา/..โลกเดือดร้อนฉิบหายเพราะประชาธิปไตยชนิดนี้ ต่อเมื่อในความร่ำรวยเกินความจำเป็นที่แท้จริงของชีวิต มิใช่สิ่งอันพึงประสงค์ของมนุษย์ทั้งหลายเพราะเห็นโทษแห่งโลภะแล้ว พากันเลือกผู้ที่ครองชีวิตอันสมบูรณ์ไร้โลภะเกาะกินมาเป็นตัวแทนของพวกเขา/...โลภะจะเข้าสู่ภาวะปกติสุขด้วยประชาธิปไตยชนิดนี้...” “เขียนมนุษย์”นับเป็นหนังสือแห่งความแหลมคมที่เสียดแทงการใช้ชีวิตได้อย่างแม่นตรง/มันคือรอยกรีดเฉือนจากพลังสำนึกของผู้เขียนในรอยทางแห่งความประจักษ์คิด..ที่สาดอารมณ์แห่งความเป็นจริงเข้าใส่ความหมองมัว/ให้เปิดเนื้อแท้แห่งความมืดดำอำพรางเพื่อให้หลุดพ้นจากบ่วงแห่งการครอบงำ...โดยถือว่า..เมื่อจอมมารคือโลภะเข้าครอบงำจิตใจ มันสั่งให้พวกเราหาทรัพย์ด้วยประการต่างๆได้หนักหนา และได้แบ่งส่วนอันละน้อยแก่ชนฝูงหนึ่ง และฝูงชนนี้ย่อมยกย่องสรรเสริญแก่มัน/...ครั้นฝูงชนผู้ถูกพญามารคือกิเลสเข้าครอบงำ เขาจึงเบียดเบียนฆ่าฟันผู้อื่นลงนักหนา เพราะคิดว่ามีอำนาจเหนือผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวว่าตนได้ตกอยู่ในอำนาจของพญามาร อันจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ทั้งตนเองและผู้อื่น..แลโลกก็จะสงบลงมิได้เลย. เนื่องในโอกาสที่”ช่วง มูลพินิจ”ได้รับเกียรติให้ได้รับรางวัล”นราธิป”โดยสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยในปีนี้/หนังสือเล่มนี้..จึงคือภาพรวมแห่งงานเขียนในเชิงพุทธิปัญญาอันควรน้อมรับและยกย่อง.../ด้วยหัวใจแห่งศิลปิน...ด้วยความคิด จิตใจ และอารมณ์ที่ประกอบสร้างขึ้นเป็นนัยความหมายของหนังสือทั้งหมด/จึ่งเปรียบดั่งดวงไฟที่ฉายส่องความมืดมนให้แก่จักรวาลของการมีชีวิตอยู่ในเลือดเนื้อแห่งจิตวิญญาณของทุกผู้ทุกคน../กระทั่งก่อเกิดเป็นอำนาจของความมีอยู่และเป็นอยู่อันไม่ลุ่มหลงและหวาดระแวง..ที่เป็นทั้งความสถาพรและเข้าใจในที่สุด “ผู้หลงในอำนาจย่อมมีใจอันคับแคบ...เพราะระแวงผู้อื่นด้วยเหตุแห่งอำนาจนั้น”