มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยระบุปี 2563 การส่งออกของไทยจะหดตัว 0.9-2.4% มูลค่า 244,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จับจาปัจจัยเสี่ยงจากความขัดแย้งมะกัน-อิหร่าน ผสมโรงกับสงครามการค้ามะกัน-จีนที่ยังต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์การค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้ทำการวิเคราะห์ทิศทางการส่งออกไทยปี 2563 โดยคาดว่าปี 2563 ไทยมีมูลค่าการส่งออก 244,231 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯหรืออยู่ในช่วง 240,472-247,621 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว 0.9%(อยู่ในช่วง -0.9-2.4%) โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ยังต้องติดตามสถานการณ์ แม้ว่าจะมีการเซ็นสัญญาระหว่างสหรัฐฯกับจีนวันพรุ่งนี้ (15 ม.ค.)ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี และเงินบาทที่แข็งค่าสุดในรอบ 6 ปี โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1% มูลค่าส่งออกจะลดลง 0.11% ซึ่งค่าเงินบาทที่แข็งค่า 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ มูลค่าการส่งออกลดลง 0.4% หรือลดลงประมาณ 29,381.4 ล้านบาท ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงการส่งออกปี 2563 ที่มีระดับความเสี่ยงสูงคือ 1.สามสงครามเช่น สงครามการค้า,สงครามเทคโนโลยี,สงครามค่าเงิน 2.ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า 3.วิกฤติสหรัฐฯ-อิหร่าน 4.เศรษฐกิจโลกที่ยังคงทรงตัว สำหรับการคาดการณ์อัตราขยายตัวของจีดีพีไทยปี 2563 จะเติบโต 2.7-3.7% ขณะที่เศรษฐกิจโลกคาดว่าจะเติบโต 3.4% ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนของไทยจะอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ การเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนมีความก้าวหน้า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน อยู่ในระดับต่ำ ส่วนการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำปี 2563 จำนวน 5-6 บาท ทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำของไทยอยู่ระหว่าง 313-336 บาท ถือว่าเป็นค่าจ้างรายวันสูงที่สุดในอาเซียน เป็นรองแค่ประเทศสิงคโปร์เท่านั้น ขณะที่ค่าจ้างรายวันมาเลเซียจะอยู่ที่ 278 บาทต่อวัน,กัมพูชา 221 บาทต่อวัน และเวียดนาม 153-221 บาทต่อวัน จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต ราคาสินค้าของผู้ส่งออกไทยและมูลค่าการส่งออกไทย โดยภาคเกษตรกรรมจะส่งผลกระทบต่อการผลิตข้าว ข้าวโพด อ้อย และยางพารา ส่วนภาคอุตสาหกรรมจะส่งผลกระทบอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ซ่อมเรือ ปิโตรเลียม และเครื่องจักร