คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้ ทันทีที่ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ออกคำสั่งสังหาร “นายพลคาเซ็ม สุเลมานี”ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ สังกัดกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่านที่มีอิทธิพลสูงอันดับสองรองจาก “อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี”ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ก็ได้กลายเป็นเรื่องดราม่าโจษจันกันทั้งประเทศและขยายไปทั่วโลกในฉับพลัน “อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี” ได้ออกมาประกาศกร้าวว่า “อิหร่านจะล้างแค้นต่อการที่ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งปลิดชีวิตนายพลสุเลมานีอย่างแน่นอน” โดยมีชาวอิหร่านออกมาขานรับจุดยืนผู้นำสูงสุดของพวกเขาอย่างท่วมท้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้การแตกแยกระหว่างผู้นำสูงสุดของอิหร่านกับชาวอิหร่านบางส่วนได้มีเกิดขึ้นให้เห็นอย่างค่อนข้างชัดเจน!!! และเมื่อวันอังคารที่เพิ่งผ่านมานี้ “จาวาด ชารีฟ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอิหร่านก็ได้ออกมาแถลงซ้ำว่า“อิหร่านจะล้างแค้นต่อการกระทำอันอุกอาจของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างแน่นอน” โดยผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้แถลงว่า “การล้างแค้นของอิหร่านในครั้งนี้จะกระทำอย่างเปิดเผย” อนึ่งในการจัดพิธีไว้อาลัยต่อการจากไปของนายพลสุเลมานี พร้อมกับนายทหารอีกห้าคนที่เสียชีวิตจากการโจมตีของสหรัฐฯนั้น ได้มีชาวอิหร่านเข้าร่วมในพิธีอย่างคับคั่งกว่าหนึ่งล้านคน และยังปรากฏอีกด้วยว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านถึงกับร่ำไห้ออกมาระหว่างพิธี!!! การปลิดชีพของนายพลสุเลมานีในสนามบินประเทศอิรักนั้น ได้สร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าบรรดานักการเมืองของอิรักอย่างกว้างขวาง โดยมีกระแสข่าวรายงานว่า นายพลสุเลมานีเดินทางไปอิรักจนพบกับจุดจบในครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการจะเข้าพบกับนายกรัฐมนตรีอิรักเพื่อรายงานถึงความก้าวหน้าในการเจรจาปรองดองกับซาอุดีอาระเบีย อนึ่งสภาผู้แทนฯของอิรักได้มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 170 / 0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เรียกร้องให้สหรัฐฯถอนกำลังทหารออกจากอิรัก เพราะถือว่าสหรัฐฯล่วงละเมิดอธิปไตยของอิรักในการที่สหรัฐฯก่อเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ส่วนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวว่า “หากอิหร่านเปิดฉากโจมตี สหรัฐฯก็จะตอบโต้กลับด้วยการถล่มศูนย์วัฒนธรรมของอิหร่าน 52 จุดด้วยกัน” ท่าทีก้าวร้าวดังกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ถูก “รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯมาร์ค เอสเปอร์” ออกมาเหยียบเบรกปฏิเสธท้วงติงว่า “สหรัฐฯจะไม่ถล่มศูนย์วัฒนธรรม 52 แห่งของอิหร่าน เพราะหากสหรัฐฯทำเช่นนั้น ถือเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม” และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้ประธานาธิบดีทรัมป์กลับลำเปลี่ยนท่าทีใหม่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “จะไม่กระทำเช่นนั้นหากเป็นการผิดต่อกฎหมายนานาชาติ” อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงโพสต์ลงในทวิตเตอร์ตามถนัดว่า ทันทีที่อิหร่านเปิดฉากทำสงคราม สหรัฐฯก็จะตอบโต้อย่างทันควัน!!! แต่เมื่อเห็นท่าไม่ดี “ประธานสภาผู้แทนฯ แนนซี เพโลซี” จึงได้ออกมาเดินเกมในเชิงรุกเพื่อสกัดกั้น โดยออกมาประกาศว่า “จะทำการแก้ไขกฏหมายเพื่อลดทอนอำนาจของประธานาธิบดีทรัมป์ในการก่อสงครามกับอิหร่าน” ส่วนมติของคนอเมริกันทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่มีท่าทีที่ไม่เห็นด้วยในการที่สหรัฐฯจะทำสงครามกับอิหร่าน ทั้งนี้เนื่องมาจาก คนอเมริกันมีความเบื่อหน่ายต่อการทำสงคราม อีกทั้งพันธมิตรของสหรัฐฯทั้งหลายแหล่ก็มิได้มีท่าทีกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมทำสงครามกับอิหร่านแต่อย่างใด!!! สำหรับข้ออ้างของประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐมนตรีต่างประเทศไมค์ ปอมพิโอ ในการออกคำสั่งปลิดชีวิตนายพลสุเลมานีนั้น ผู้นำทั้งสองต่างชี้ว่า “สหรัฐฯมีข้อมูลอย่างครบครันว่านายพลสุเลมานีเป็นบุคคลอันตรายต่อสหรัฐฯ” ทว่าเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐมนตรีต่างประเทศปอมพิโอถูกท้าทายต่อข้ออ้างดังกล่าว กลับปรากฏว่าทั้งสองต่างไม่มีหลักฐานใดๆออกมายืนยันได้ อนึ่งการออกมากล่าวแบบปั้นน้ำเป็นตัวของทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐมนตรีต่างประเทศปอมพิโอในครั้งนี้ดูเหมือนว่า ไม่ต่างจากข้อกล่าวอ้างของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู.บุชผู้ลูก ครั้งที่เขาเปิดฉากทำสงครามกับอิรัก โดยบุชผู้ลูกอ้างว่า “อิรักมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในครอบครอง”แต่กลับปรากฏว่า ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด ส่วนการพูดพล่อยๆประจำวันของประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้กลายเป็นเรื่องเบสิคธรรมดาๆ ทำนองเดียวกันกับการที่เขาเคยออกมาประกาศขู่จะทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก แต่กลับปรากฏว่าขณะนี้เขากลับไปญาติดีจูบปากกับประธานาธิบดีคิม จอง-อึน แห่งเกาหลีเหนือ เรียบร้อยโรงเรียนทรัมป์แล้ว!!! การปลิดชีวิตนายพลสุเลมานีจนกลายเป็นข่าวเกรียวกราวในครั้งนี้ ปรากฏว่านักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ในทางกลับกันนักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตได้ออกมาประกาศคัดค้านไม่เห็นด้วยหัวชนฝา ส่วนกรณีข่าวที่แพร่ระบาดทั่วไปทั้งในอิรักและกรุงวอชิงตันในเรื่องที่ว่า “สหรัฐฯพร้อมแล้วที่จะถอนกำลังทหารออกจากอิรัก” นั้น ปรากฏว่าเป็นข่าวสับสนค้นหาต้นตอไม่เจอ!!! โดยเมื่อวันจันทร์ที่เพิ่งผ่านมานี้มีข่าวออกมาว่า รัฐมนตรี กลาโหมของอิรักได้รับจดหมายที่ส่งมาจาก “นายพลวิลเลียม ซีลี”ผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯประจำอิรักที่มีข้อความระบุไว้ในนั้นว่า “สหรัฐฯจะถอนทหารออกจากอิรัก” โดยผู้สื่อข่าวรอยเตอร์สประจำอิรักได้ออกมายืนยันว่า เห็นจดหมายนั้นด้วยลูกตาทั้งสองของเขาเอง!!! แต่ข่าวนี้ถูกสยบด้วย “นายพลมาร์ค มิลเล่ย์” เสนาธิการทหารของสหรัฐฯในกรุงวอชิงตัน ที่เขาได้ออกมาแถลงแก้ต่างว่า จดหมายดังกล่าวเป็นเพียงร่างเท่านั้น ยังไม่มีการเซ็นต์ใดๆทั้งสิ้นยิ่งสร้างความสับสนอลหม่านตามมาในทันที โดยรายงานล่าสุดเมื่อเช้าวันพุธที่เพิ่งผ่านมานี้ว่า กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่านได้เปิดฉากปฏิบัติการยิงจรวดอย่างน้อย 20 ลูกพุ่งตรงไปยังฐานทัพสหรัฐฯในอิรัก กองทัพอากาศของสหรัฐฯก็มิได้นิ่งเฉยส่งเครื่องบิน B-52 หกลำไปประจำการ ณ Diego Garcia ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการทั้งในตะวันออกกลางและในมหาสมุทรแปซิฟิก กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการสั่งการจากปากของประธานาธิบดีทรัมป์ให้สังหาร “นายพลคาเซ็ม สุเลมานี” จนมีผลทำให้อิหร่านแค้นตอบโต้กลับด้วยการยิงจรวดไปยังฐานทัพสหรัฐฯในประเทศอิรักในครั้งนี้ ถือได้ว่าสงครามของทั้งสองฝ่ายเปิดฉากการสู้รบกันแล้ว ส่วนสงครามจะขยายวงกว้างออกไปมากเพียงใดและจะนานแค่ไหนนั้น ก็ยังไม่มีใครสามารถจะล่วงรู้และให้คำตอบได้ แต่แน่นอนว่าการต่อสู้ในครั้งนี้อิหร่านคงจะไม่ยอมแพ้หันหลังกลับไปอย่างง่ายๆละครับ