ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “การต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ของชีวิต ถือเป็นการกระทำที่มีความหมายอันยิ่งใหญ่ต่อวันเวลาเสมอ มันคือนัยของการเยียวยาบำบัดจากความทุกข์เศร้าในโลกอันหม่นไหม้ของวันนี้ ซึ่งยากจะหลบเลี่ยงและขมขื่นยิ่งต่อการแก้ปัญหาต่างๆโดยลำพัง...เหตุนี้ ภาวะแห่งประสบการณ์ของมนุษย์เราทุกๆคนจึงคือหลักการแห่งแบบอย่างที่จะโน้มนำให้เราได้เรียนรู้ความเป็นชีวิตจากปัญหาและอุปสรรคนานา ที่บังเกิดขึ้น กระทั่งเข้ามาขวางกั้นทางรอดแห่งชีวิตของเรา...ความเจ็บปวดใดก็ตามในชีวิตล้วนคือพิษร้ายต่อการตั้งตัวให้มั่นคงเสมอ ตราบใดที่เรายังมองไม่เห็นหนทางในลักษณะที่ถ่องแท้ของคืนวันอย่างเข้าใจ และมองเห็นบรรทัดฐานของการหยั่งเห็น อันมิอาจลบเลือนได้...” “CREATUREs OF A DAY “(พลัง ชีวิต และ ความฝัน) คือหนังสือที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการปลูกสร้างพลังในการเยียวยาชีวิตผู้คนของวันนี้ ซึ่งตกอยู่กับภาวะที่แสนจะร้าวรานทางอารมณ์ มันคือผลรวมที่ถูกยกย่องว่า เป็นมนต์ขลังสำหรับผู้อ่านและความเป็นมนุษย์โดยรวมทุกๆคน ที่ได้ไพล่ไปคิดและหมกมุ่นถึงความชราภาพและความตายอย่างสิ้นหวัง...แต่ถ้าหากใครก็ตามได้อ่านหนังสือเล่มนี้..หัวใจของเขาก็จะได้รับการบำบัดประหนึ่งการขัดเกลาจากกวีและความงามอันบริสุทธิ์จากบทกวีแห่งการเยียวยานั้นๆ ว่ากันว่า”Irvin D. Yalom”ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้สามารถทำให้ประกายไฟแห่งการเขียนของเขา และมุมมองแห่งการบำบัดตกอยู่ในฐานะที่เป็นศิลปะ รวมทั้งการได้มองผู้ที่เข้ารับการรักษาในฐานะกวีผู้ร่วมขับขาน/...นี่คือสิ่งที่ทำให้การเขียนหนังสือเล่มนี้ของ”ยาลอม”เป็นประหนึ่ง การเข้าไปสู่จุดค้นหาความหมายของชีวิตและการดำรงอยู่ของมันอย่างลึกซึ้ง...ผ่านเรื่องราว10เรื่องของผู้ที่ได้รับการเยียวยาบำบัด..เป็นการย้อนทบทวนถึงความเข้าใจถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจของผู้เข้ารับการบำบัดเยียวยาในแต่ละราย...ถ้อยคำที่เขาเขียนถึงหมู่คนไข้ของเขาในแต่ละราย ล้วนคือถ้อยความและถ้อยคำที่ถูกร้อยเรียงและถักทอขึ้นมาอย่างอ่อนโยนและซาบซึ้ง...อันโน้มนำให้เราได้มีโอกาสหวนรำลึกถึง “พลัง ชีวิต และความฝัน” ทั้งในอดีตและปัจจุบัน “ผมเริ่มรู้สึกถึงความรวดร้าวที่แท้จริงที่มีต่อ”เจร็อด” และรู้สึกได้ถึงแรงดลใจที่พุ่งขึ้นมาในตัวผม เพื่อปกป้องจากความโกรธแค้น ที่มาจากการกล่าวหาตนเอง ผมอยากจะเตือนเขาว่าความสัมพันธ์ของเขากับ”มารี” มีปัญหามานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เธอจะพบว่าเป็นมะเร็ง แต่ตอนนี้เขาอยู่ในวิกฤติของการตัดสินใจครั้งสำคัญมาก จนผมเกรงว่าการกล่าวอะไรก็ตาม อาจทำให้เขาตีความว่าเป็นการให้คำแนะนำ ผมได้พบกับผู้ป่วยมากมายที่อยู่ในภาวะนี้ ซึ่งเขาจะไปกระทุ้งให้คนอื่นรวมถึงนักบำบัดให้ตัดสินใจแทนเขา” ข้อความนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทั้งสะเทือนร้าวและมีพลัง ซึ่งปรากฏอยู่ในบทตอน”สิ่งมีชีวิตของวันหนึ่ง”อันเป็นตอนที่น่ารับฟังและใคร่ครวญในเชิงลึกยิ่ง...ความผิวเผินในการรับรู้อาจใช้ไม่ได้หรือใช้ไม่ได้เลยกับการเยียวยาผู้คนที่ตกอยู่กับภาวะของความสิ้นหวังและตกอยู่กับความลำพัง “ก่อนที่จะพบผู้ป่วยคนต่อไปของผม ผมมีเวลามากมายที่จะคิดถึงทั้ง “เจร็อด” และ “แอนดรู” รวมถึงชีวิตที่เหนือจริงกว่านิยายที่ผมได้เป็นสักขีพยาน อีกครั้งที่ผมรู้สึกเจียมตัวเพราะความสลับซับซ้อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของจิตมนุษย์ และรู้สึกสิ้นหวังกับความว่างเปล่าที่สาขาวิชาของผมพยายามทำให้การบำบัดเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้น ...ใส่รหัสและสร้างคู่มือการปฏิบัติเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยในลักษณะที่มีการออกแบบเอาไว้ก่อนแล้ว...นี่คือผู้ป่วยสองคนที่ดำดิ่งสู่ท้องทะเลแห่งเชาวน์ปัญญาของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งและแต่ละคนต่างได้รับประโยชน์ที่แตกต่างกัน ในทางที่ผมและใครๆก็ตามไม่สามารถที่จะทำนายได้” การวิพากษ์การเยียวยารักษาด้วยกระบวนวิธีที่ตายตัวเบ็ดเสร็จอย่างจริงจังและตรงไปตรงมาเช่นนี้ คือบทเรียนแห่งการสะท้อนชีวิตภายใต้อุดมคติที่ถูกเพิกเฉยและมองไม่เห็นคุณค่า...แท้จริงหากการรักษาเยียวยาที่ไม่เอาความจริงแห่งชีวิตของผู้ป่วยเป็นตัวตั้ง... นั่นก็เท่ากับว่าผู้รักษาเยียวยาหาได้มองชีวิตด้วยสายตาแห่งหัวใจของการเป็นชีวิตใหม่....มันคือวิธีการที่”ยาลอม”ปฏิเสธและลุกขึ้นมาชี้ให้เห็นถึงผลกระทบอันร้ายแรงและสูญเปล่าจากการกระทำที่ปราศจากหัวใจและไร้ค่าเช่นนี้.. “ผมสงสัยว่าท้องทะเลแห่งนี้ ได้เก็บอะไรไว้ให้ผมในขณะที่ ผมกำลังย่างเข้าสู่วัยแปดสิบสองปีอันเต็มไปด้วยชีวิตและแรงปรารถนา แต่เศร้าใจกับการสูญเสียคนจำนวนมากมาย ที่ผมรู้จักและรัก บางครั้งผมอาลัยอาวรณ์วัยเยาว์ที่สูญสิ้นไปแล้ว บางครั้งก็ถูกกวนใจจากกระดูกกระเดี้ยวในกายและข้อต่างๆที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไม่ยอมหยุด รวมถึงการได้ยินและมองเห็นที่กำลังเลือนรางลงไป การตระหนักรู้ถึงยามพลบค่ำที่มืดลงเรื่อยๆ และความมืดมิดที่ย่างเข้ามาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้” อุปมาเปรียบเทียบถึงความเป็นจริงแห่งชีวิตในประเด็นนี้นับว่าสำคัญ มันคือความหดหู่ อันถูกขึงพืดและโบยตีอย่างตำตาอยู่ต่อหน้า..ด้วยลีลาที่หาที่มาที่ไปแห่งคำตอบอันเที่ยงธรรมไม่เจอ ที่สุดแล้วมนุษย์เราก็ต้องยอมจำนนอย่างสิ้นท่ากับเงื่อนไขนานา ที่ผู้คนแห่งโลกวันนี้ได้สร้างขึ้นมารัดคอตัวเอง ในบทตอน “จะดีกว่าหากคุณเลิกหวังว่า อดีตจะดีกว่านี้”....”ยาลอม”ได้พูดถึงความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแนวทางแห่งความหมายชองชีวิต ผ่านสำนึกคิดของ”แซลลี่” ผู้หญิงหน้าตาคมคายที่พูดอย่างตรงไปตรงมา... เธอต้องการปรึกษา”ยาลอม”ในสิ่งที่แปลกต่างไปจากที่เคย เธอตั้งใจว่า..เธอจะยกเครื่องใหม่หมด วันเกิดครบหกสิบปีของเธอใกล้เข้ามาแล้ว และเธอต้องการเปลี่ยนชีวิต.. “ดิฉันไม่แน่ใจว่าคุณหมอจำเกี่ยวกับดิฉันได้มากน้อยแค่ไหน แต่ดิฉันทำงานเป็นนักฟิสิกส์เทคนิคมาตลอดชีวิต..และนั่นคือสิ่งที่ดิฉันอยากจะเปลี่ยน ...ความจริงก็คือว่าหัวใจของดิฉันไม่เคยอยู่ในงานนี้เลย สิ่งที่ดิฉันเรียกร้องคือการเขียน ดิฉันอยากเป็นนักเขียน...ดิฉันตัดสินใจแล้วว่าจะยกการเขียนมาเป็นอันดับหนึ่ง ตอนนี้ดิฉันมีเงินมากพอที่จะทำอย่างนั้นแล้ว..ดิฉันหมายถึงว่า..ดิฉันต้องมีความสามารถพิเศษบางอย่าง ดิฉันได้รับรางวัลนักเขียนหน้าใหม่ในการแต่งนวนิยายเมื่อตอนอายุสิบแปด เงินรางวัลสี่พันเหรียญ..แต่มันกลับเป็นรางวัลแห่งการสาปแช่งมากกว่า.ดิฉันมีความคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับงานเกียรติยศนั้น ดิฉันเริ่มจะเห็นตัวเองเป็นคนหลอกลวงและกลัวที่จะแสดงผลงาน” นอกจากผลงานที่ได้รับรางวัลแล้ว เธอไม่เคยพิมพ์อะไรอีกในเวลาต่อมา และไม่เคยคิดที่จะพิมพ์อะไรด้วย เธอยังคงเก็บงานไว้ทุกชิ้น โดยไม่กล้าส่งงานออกไปที่ไหนได้ เช่นเดียวกับไม่สามารถที่จะโยนงานทิ้งไปได้ เธอเก็บทุกอย่างไว้ในกล่องใบใหญ่แล้วใช้เทปปิดผนึก มันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเขียนตั้งแต่เธอเป็นวัยรุ่น.. แทบไม่น่าเชื่อว่า...พฤติกรรมเช่นนี้จะกลืนกินจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของมนุษย์ ณ วันนี้ได้ มันจึงคือภาพแสดงอันหดหู่และสูญสิ้นของความเป็นตัวตนโดยแท้ ประเด็นดังกล่าวนี้”ยาลอม”ได้ชี้แนะและอธิบายถึงการแก้ปมปัญหานี้อย่างน่าใคร่ครวญว่า.. “อย่าเอาตัวเองเข้าไปใส่มากเกินไป มันจะไม่มีอะไรดีจากการทำอย่างนี้” ที่สุดแล้วบทสรุปแห่งเรื่องราวของ”แซลลี่”จึงอยู่ที่ประเด็นสำคัญที่ว่า..การล้มเลิกความหวังว่า จะมีอดีตที่ดีกว่านั้นเป็นความคิดที่มีพลังมาก มันสามารถช่วยคนได้หลายคน และมันยังได้ช่วยตัวของ”ยาลอม”โดยส่วนตัวด้วยเหมือนกัน “คุณไม่ได้ล้มเลิกความหวังว่าจะมีอดีตที่ดีกว่า แต่สิ่งที่คุณทำคือคุณเขียนอดีตขึ้นมาใหม่เพื่อตัวคุณเอง ซึ่งคุณเลือกเส้นทางได้เป็นที่ประทับใจมาก” เรื่องราวแห่งความเป็นจริงเช่นนี้”ปริญดา วิรานุวัตร”ในฐานะผู้แปล/ผู้เก็บภาษาแห่งความรู้สึกได้อย่างงดงามและสื่อถึงความหมายได้อย่างแม่นตรงได้แสดงทัศนะอันน่าสนใจเอาไว้ว่า..”คุณเคยลืมตาตื่นในตอนเช้าแล้วมีคำถามนี้ไหมว่า”ฉันมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?..ในระหว่างที่คุณคิดหาคำตอบ ซึ่งยิ่งคิดก็ยิ่งพบว่าไม่มีคำตอบใดที่มีแก่นสารพอจะทำให้คุณสงบใจลงได้เลย ความกลัวได้คืบคลานเข้ามาในใจของคุณและครอบงำไว้...คนส่วนมากมีประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งของชีวิต”..นั่นคือบทสะท้อนของความจริงอันน่าหดหู่ที่เราทุกคนไม่อาจจะเลี่ยงพ้น/ซึ่งด้วยภาวะโดยรวมเช่นนี้”ยาลอม”ในฐานะแห่งการเป็นผู้เขียนหนังสือสำหรับการเยียวยาเล่มนี้...จึงได้แสดงถึงบทบาทอันชัดแจ้งของตัวเขาเองออกมาอย่างเปิดเปลือยว่า.. “สิ่งสำคัญทีสุดที่ผมหรือนักบำบัดคนอื่นๆ สามารถทำได้คือ...การเสนอความสัมพันธ์ในการเยียวยาที่แท้จริง ความสัมพันธ์ที่ผู้ป่วยสามารถรับความช่วยเหลือใดๆ ก็ตามที่เขาต้องการได้ นักบำบัดอย่างเราจะหลอกตัวเอง หากเราคิดว่า การกระทำที่เจาะจงบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการตีความ การให้คำแนะนำ การเรียกชื่อใหม่ หรือการให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วย คือปัจจัยที่เยียวยาได้จริงๆ” ความงดงามอันเป็นที่สุดของหนังสือเล่มนี้..อยู่ที่การบังเกิด ปัจจุบันขณะ(here and now)มันคือหนังสือที่หวังถึงประโยชน์ได้ โดยครั้งแล้วครั้งเล่าที่”ยาลอม”เรียกความสนใจมาสู่สายสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับผู้ป่วย ด้วยการถามผู้ป่วยว่า...”ผู้ป่วยมีคำถามที่จะถามเขาหรือไม่?”โดยมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นดั่งความสัมพันธ์ที่ปรากฏในความฝัน...เขาไม่เคยพลาดที่จะจัดอันดับความสำคัญของการพัฒนาสายสัมพันธ์อันสัตย์ซื่อ โปร่งใส และเต็มไปด้วยความช่วยเหลือระหว่างนักบำบัดกับผู้ป่วย...แม้เพียงครั้ง แท้จริงแล้ว! … เราทุกคนล้วนมีโอกาสทัดเทียมกันที่จะป่วยไข้..และเนื่องในโอกาสแห่งปีใหม่”2563”นี้/ผมหวังถึงว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นของขวัญแห่งความหวังของทุกๆคน..ผ่านมิติแห่งเจตจำนงของการเยียวยารักษา.ด้วยการหาคำตอบในการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและด้วยการรับมือกับภาวะของความชราภาพและความเป็นไปต่างๆที่ถดถอยเกี่ยวกับทางเลือกของชีวิต และเกี่ยวกับรากฐานสำคัญของการแยกตัวออกไปอยู่อย่างสันโดษ... “เราทุกคนล้วนต่างคือสิ่งมีชีวิตของวันหนึ่งๆ...ทั้งผู้จดจำและผู้ถูกจดจำเฉกเช่นกัน..”