หากใครคิดจะหา “มิตรแท้” และ “ศัตรูถาวร”ในสังเวียนการเมือง คงเป็นเรื่องยากเต็มที เพราะในความเป็นจริงแล้ว ถนนสายนี้ ไม่มีทั้งมิตรหรือศัตรู ที่จีรัง ทุกคน ทุกอย่าง สามารถแปรเปลี่ยนได้ทั้งสิ้น ล้วนเป็นไปตามสถานการณ์ รวมทั้ง โอกาส ปัจจัยที่จะนำไปสู่จุดพลิกผัน ได้เสมอ ! ในบางครั้ง “ศัตรู” ของ “ศัตรู” ก็กลับกลายมาเป็น “มิตร” ของเราได้ หากโอกาสและ “ผลประโยชน์” เอื้ออำนวยมากพอ เช่นเดียวกันกับที่ “มิตร” ของเราเอง ก็อาจแปรเปลี่ยน กลายเป็น “ศัตรู” ได้อย่างน่าประหลาดใจ ! การก่อกำเนิดเกิดขึ้นของพรรคการเมืองไทย แต่ละพรรค แต่ละค่าย ต่างมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันไป และเมื่อดำรงอยู่ร่วมกัน จนเกิดปัญหา เกิดขัดแย้ง หรือแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ลงตัว สุดท้ายก็จะกลายเป็น “เงื่อนไข” ให้เกิดการเปลี่ยนขั้ว ย้ายค่าย หรือในบางกรณี หาก “ศัตรู” ของเรา เลี้ยงดู “มิตร” ไม่ดีพอ ปล่อยให้ตกระกำ ลำบาก ผลประโยชน์ไม่แบ่งปัน ตำแหน่งแห่งหน ไม่เคยให้ได้โอกาสชื่นชม เมื่อนั้น “มิตร” ของฝ่ายตรงข้าม ก็จะง่ายต่อการถูกดึงมาไว้ข้างกายฝ่ายเราแทน การประกาศตัวแจ้งเกิดของ “พรรคพลังประชารัฐ” พรรคแกนนำรัฐบาล ทำหน้าที่เป็น “กำลังหลัก” สำหรับงานด้านการเมือง ให้กับ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้กลายเป็นพรรคการเมืองที่ถูกจับตา และโจมตีไปในคราวเดียวกันมากที่สุด ! เพราะไม่เพียงแต่พรรคพลังประชารัฐ จะดูดและดึงเอา “นักการเมืองรุ่นเก่า”ที่เคยร่วมงานกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ เจ้าของอำนาจตัวจริงเสียงจริงของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจมาแล้วเท่านั้น ทว่าในบรรดาแกนนำกลุ่มก๊วนต่างๆที่มาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมี “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ทำหน้าที่เป็นทั้ง “ผู้จัดการรัฐบาล” และยังนั่งคุมเกมของพรรคโดยตรง ในฐานะ “ประธานยุทธศาสตร์” หลายต่อหลายคน คือ “อดีตแกนนำคนเสื้อแดง” กองกำลังในภาคสนามของพรรคพลังประชาชน มาจนถึงพรรคเพื่อไทย ด้วยซ้ำ ! “แรมโบ้อีสาน” คือฉายา ของ “สุภรณ์ อัตถาวงศ์” อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย แถมยังเป็น “หัวขบวนสายบู๊” ของคนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ ที่เคยเป็นแกนนำนปช.มาชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2553 หนุนอดีตนายกฯทักษิณ ขวัญใจคนเสื้อแดงสุดตัว แต่สถานะของแรมโบ้อีสาน วันนี้คือ “กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี” ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 273/2562 โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ ลงนามที่ผ่านมาหลังจากที่ย้ายข้างประกาศหนุนพล.อ.ประยุทธ์ อย่างสุดตัว มิหนำซ้ำที่บ่อยครั้ง ก็เป็นแรมโบ้อีสานคนนี้ ที่ออกมา “ปะ ฉะ ดะ”กับ แกนนำของพรรคเพื่อไทย ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นส.ส.หรือ “เบอร์ใหญ่” อย่าง “คุณหญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ ก็ยังไม่ยอมลดราวาศอกให้ หรือแม้ผลงานชิ้นโบแดง ก่อนส่งท้ายปลายปีที่ผ่านมา แรมโบ้อีสาน ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นถึง “นายเก่า” ว่าให้เลิกตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จได้แล้ว เมื่อยิ่งลักษณ์ ออกมาโอดครวญความเจ็บช้ำใจที่ได้รับจากพิษ “คดีทุจริตโครงการจำนำข้าว” แถมงานนี้ สุภรณ์ ยังไม่ได้ร่ายยาวแค่ตอบโต้ “นายเก่า” เท่านั้น เพราะยังแฉกลับทุกดอกว่า วันนี้พี่น้องคนเสื้อแดง ที่เคยต่อสู้ให้กับ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” ก็ยังต้องหาเงินสู้คดีกันเอง โดยไม่มีใครมาให้ความช่วยเหลือ คาดว่าในปีนี้ 2563 แรมโบ้อีสาน อาจจะต้องเจองานหนักอีกหลายระลอก ตามสถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรงแทบทุกสนาม ! สุภาษิตไทยที่ว่า “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก” น่าจะใช้อธิบายถึงปัญหาจนมาถึงการตัดสินใจ ลาออกจาก “สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์” ของ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” อดีตส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่อยู่ใต้ชายคาค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผมมายาวนานหลาย ข่าวคราวการลาออกของพีระพันธุ์ สร้างความตกใจ ให้กับหลายต่อหลายคน แต่ขณะเดียวกัน ความขัดแย้ง และรอยร้าวที่เกิดขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์นับตั้งแต่มีการประกาศตัวลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ซึ่งงานเจ้าตัวทิ้งทวนเอาไว้แค่ว่า “ไม่ได้มีปัญหากับใคร เมื่ออยู่ไม่ได้ก็ออกมา” สถานะสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กลายเป็นเรื่องราวในอดีตไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อในปัจจุบันพีระพันธุ์ ได้รับการแต่งตั้งโดยมติที่ประชุมครม.ให้นั่ง “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” ก่อนที่จะถูกวางตัวให้ทำหน้าที่ “ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560” โดยไม่มีการพลิกโผ การดึงพีระพันธุ์ นักกฎหมายคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ให้มาอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ และรับคำสั่งโดยตรงเช่นนี้ แน่นอนว่า ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับคนของประชาธิปัตย์ไม่น้อย เพราะต้องไม่ลืมว่า แท้จริงแล้ว ทั้งบิ๊กป้อมและบิ๊กตู่ ไม่ได้วางตัวให้พีระพันธุ์ มาทำหน้าที่นั่งหัวโต๊ะ คุมเกมแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่โอกาสของพีระพันธุ์ ยังถูกคาดการณ์กันไปไกลว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะ “พรรคร่วมรัฐบาล” งอแง สร้างปัญหา ให้กับรัฐบาลมากนัก โอกาสที่จะถูก “ริบเก้าอี้” รัฐมนตรีคืน แล้วส่งพีระพันธุ์ เข้าไปนั่งแทน ก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น อย่าลืมว่า นาทีนี้ ย่อมไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหน กล้าออกจากการเป็นพรรคร่วม แล้วเปลี่ยนสถานะไปเป็น “ฝ่ายค้าน” อย่างแน่นอน ดังนั้น จึงเท่ากับว่า ฝ่ายพรรคพลังประชารัฐ ใช้ คนที่เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์ “เอาคืน” กำราบประชาธิปัตย์ ให้อยู่หมัด! แต่ที่กำลังจะกลายเป็น “บิ๊กเซอร์ไพรซ์” ให้สนามการเมืองได้ฮือฮา คงไม่มีประเด็นไหนที่ร้อนแรงจนกลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ มากไปกว่าข่าวการเคลื่อนไหว เพื่อปั้นสูตรรัฐบาลใหม่ โดยมี “พรรคเพื่อไทย” กำลังแต่งตัวรอเข้าร่วมรัฐบาล แม้สมการ “เพื่อไทย+พลังประชารัฐ” หรือ “ทักษิณ +ประยุทธ์” นั้นจะดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ เมื่อคราวที่ บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลทั้งประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ออกแรงกดดันพล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐ จนเกิดข่าวร้ายว่า รอยร้าวกำลังลุกลามจนทำให้ครม.เริ่มสั่นคลอน นั้นก็พลันเกิดสูตรรัฐบาลใหม่ แกนนำพรรคเพื่อไทย บินไปหารือขอคำตอบจากอดีตนายกฯทักษิณ ในฐานะเจ้าของพรรคตัวจริง ว่าคิดอ่านเช่นใด ถ้าพรรคพลังประชารัฐ ส่ง “เทียบเชิญ”ให้เข้าร่วมรัฐบาล สูตร เพื่อไทย+พรรคพลังประชารัฐ ยิ่งสะพัดและถูกมองว่าเข้าใกล้ความเป็นไปได้มากขึ้น เมื่อ “พานทองแท้ ชินวัตร” บุตรชายของอดีตนายกฯทักษิณ สามารถรอดพ้นจากบ่วง “คดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทย” มาได้อย่างหวุดหวิด จนเกิดคำถามว่านี่คือ “จุดเริ่มต้น” ของ “การปรองดอง” ทางการเมืองระหว่าง อดีตนายกฯทักษิณ กับ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วใช่หรือไม่ ? ขอเตือนว่า อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ อย่าประมาทหรือปรามาสว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะหลายครั้งหลายคราว ก็เกิดบิ๊กเซอร์ไพรซ์ ชนิดที่เรียกว่า “หักปากกาเซียน”กันมาแล้วทั้งสิ้น !