หลังจากที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล จัดการปราบ ฟลาเมงโก ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-0 จากประตูชัยของ “โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน” จนคว้าแชมป์สโมสรโลก 2019 ไปครองอย่างยิ่งใหญ่ ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ทำให้ “ทัพหงส์แดง”กลายเป็นสโมสรแรกของทีมในแดนผู้ดีที่คว้า 3 แชมป์ใหญ่ระดับเมเจอร์ (ระดับนานาชาติ) ในรอบปฏิทินเดียวกันของปีนี้ ประกอบไปด้วย ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก (1 มิ.ย. 2019), ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ (14 ส.ค. 2019) และ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก (21 ธ.ค. 2019) โดยหลังการแข่งขัน “เจอร์เกน คล็อปป์” กุนซือเฮฟวี่เมทัลของ ลิเวอร์พูล ออกมาให้สัมภาษณ์ แบบสุดตื่นเต้นว่า “ในอารมณ์แบบนี้ โมเมนต์แบบนี้ และสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ผมนึกคำพูดที่ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิดของตัวเองไม่ถูกเลย ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกข้างในอย่างไรดี ที่จะแสดงความชื่นชมในตัวนักเตะทุกๆ คน มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก” “เกมนี้ เราทำได้ดีกว่ามาก ผมได้เห็นฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมของนักเตะ ผมรู้สึกว่าเราสมควรเป็นผู้ชนะ เราเป็นทีมที่ดีกว่า ในช่วงเวลาที่ชี้เป็นชี้ตาย เราทำได้ดี และตอนนี้ผมก็แฮปปี้ที่สุดแล้ว” การทำงานของยอดกุนซือชาวเยอรมัน นับตั้งแต่เข้ามากุมบังเหียน “หงส์แดง” นับว่า เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และดีขึ้นมาก ซึ่งเส้นทางการคุมทีมของ “คล็อปป์” ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ นับว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทั้งคว้าแชมป์ คว้าถ้วยรางวัลอย่างมากมาย “คล็อปป์” มีชื่อกลางว่า นอร์เบิร์ต (แปลว่าฮีโร่, แสงสว่างแห่งทิศเหนือ, แสงสว่างแห่งท้องทะเล) เกิดวันที่ 16 มิถุนายน ปี 1967 ที่เมืองสตุตการ์ต ในประเทศเยอรมันตะวันตก ส่วนสูง 193 เซนติเมตร เคยเล่นให้ “ไมนซ์ 05” เพียงทีมเดียวเท่านั้นในการค้าแข้งอาชีพ ตั้งแต่ปี 1990-2001 ก่อนจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดในวัย 34 ปี พร้อมสถิติการถล่มประตูในลีกถึง 52 ลูก ก่อนเริ่มคุมทีม “ไมนซ์ 05” ในปี 2001 หลังการเลิกเล่นมาอย่างยาวนานร่วม 11 ปีและในที่สุดการรอคอย 41 ปีของสโมสร “ไมนซ์05” ก็สิ้นสุดลง เมื่อ“คล็อปป์” พา ไมนซ์ 05 เลื่อนชั้นได้สำเร็จเพียงแค่ฤดูกาลที่ 3 ในการคุมทีม และด้วยผลงานดังกล่าว ทำให้ “โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์” ตัดสินใจเลือก“คล็อปป์” มารับงานในซัมเมอร์ปี 20 08 เพื่อหวังแก้วิกฤตความตกต่ำของทีมที่จบในอันดับ 13 ของซีซั่นดังกล่าว กระทั่งในเดือน พฤษภาคม 2008 “คล็อปป์” ได้จรดปากกากลายเป็นกุนซือคนใหม่ของสโมสร “โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์” ด้วยสัญญา 2 ปี ซึ่งฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมทีม ก็สามารถพา “เสือเหลือง” เอาชนะ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก ในศึก “เดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ” ได้สำเร็จ และทำทีมจบอันดับ 6 ในตาราง และอันดับที่ 5 ในซีซั่นต่อมา ก่อนที่จะประสบความสำเร็จด้วยการความแชมป์ บุนเดสลีกา ฤดูกาล 2010-2011 และ 2011-2012 โดยฤดูกาล 2012-2013 “คล็อปป์” ได้พา “ดอร์ทมุนด์” สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการไม่แพ้ใครเลยและเข้ารอบ ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แม้จะอยู่ในกลุ่มโหด “กรุ๊ปออฟเดธ” ร่วมกับ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และ อาแจ็กซ์” ก่อนที่จะพาทีมทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศพบกับคู่ปรับ “บาเยิร์น มิวนิก” แต่ไม่มีบุญ พาทีมพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 1-2 จากประตูชัยของ “อาร์เยน ร็อบเบน” ในนาทีที่ 89 อย่างไรก็ดีเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2015 “คล็อปป์” ได้ประกาศแยกทางกับทีมหลังจบฤดูกาลนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบกับผลงานที่ย่ำแย่ แต่จะยังคุมทีมจนจบฤดูกาล หลังจากการว่างเว้นพักการคุมทีมไประยะสั้นๆ เขาก็ได้ก้าวมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมที่ “แอนฟิลด์”ในวันที่ 8 ตุลาคม 2015 โดยบรรลุข้อตกลง 3 ปีในการคุมทัพ แทนที่ “เบรนแดน ร็อดเจอร์ส”ผู้จัดการทีมไอร์แลนด์เหนือคนเก่า และการประเดิมงานครั้งแรกจบลงด้วยผลการบุกไปเสมอ “ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์” 0-0 โดยในปีนั้น ได้สร้างผลงานสุดลือลั่น คือสอนบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี คาถิ่น “เอติฮัด สเตเดียม” ด้วยสกอร์ 4-1 ซึ่งกลายเป็นผลการแข่งขันที่ย่อยยับที่สุดในบ้านของทีม “เรือใบสีฟ้า” ในรอบ 12 ปี การรับเผือกร้อนต่อจาก “เบรนแดน ร็อดเจอร์ส” ท่ามกลางแรงกดดันจากการพลาดแชมป์ ต้องตกเป็นลูกไล่ “ปีศาจแดง” จนโงหัวไม่ขึ้น ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการสร้างทีมชั้นยอด หลังเข้ารับ ทำหน้าที่กุนซืออย่างเต็มตัว “คล็อปป์” ได้จัดการเปลี่ยนแปลงระบบ เปลี่ยนแปลงทัศนคติของตัวนักเตะ ให้แฝงไปด้วยเกมรุกที่จัดจ้าน การเข้าบอลที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้น “เพรสซิ่ง” ที่รวดเร็วจนกดดันไม่ให้คู่แข่งสามารถทำเกมได้ โดย “คล็อปป์” เปรียบสไตล์ฟุตบอลของเขาว่าเป็น “เฮฟวี่ เมทัล ฟุตบอล” ที่ก้าวร้าวเหมือนดนตรีเฮฟวี่ เมทัล แต่เหนือจากแทคติกใด ๆ สิ่งที่เขาต้องการจากนักเตะมากที่สุดคือเรื่องของสปิริตและหัวจิตหัวใจที่แข็งแรงในการเล่นฟุตบอล และการสร้างความสัมพันธ์ในห้องแต่งตัวที่ดี ทั้งหมดนี้มาจาก “แพสชั่น”ที่เขามีให้กับทีม “คล็อปป์” ใช้เวลาไม่นานก็ผสานรอยร้าวทั้งหมด จนทำให้ทีม “หงส์แดง” กลับมาบินสูงกลายเป็นยอดทีมได้อีกครั้ง “คล็อปป์” ถือเป็นกุนซือที่มีแพสชั่นต่อเกมสูงมาก ทุกครั้งที่คุมทีมข้างสนาม เรามักจะได้เห็นภาพการออกท่าทางอารมณ์ร่วมเต็มที่ รวมทั้งการสวมกอด หรือจับมือกับนักเตะทั้งสนาม อย่างไรก็ตาม ฤดูกาล 2018-2019 ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีของ “หงส์แดง” โดยมีผลการแข่งขันที่ดีที่สุดในรอบกว่า 30 ปี ซึ่ง แน่นอนว่า ความฝันสูงสุดของ “ชาวเดอะค็อป” ในช่วงชีวิตนี้ คือการคว้าถ้วยพรีเมียร์ลีกให้ได้สักครั้ง