ผ่านมาครึ่งทางแล้ว! สำหรับศึกลูกหนัง "พรีเมียร์ลีก" ลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ และเป็นทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ทีมดังย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ ที่ผงาดขึ้นนำ"จ่าฝูง" ครองอันดับหนึ่งในตารางคะแนนแบบ "ไร้พ่าย" มายาวนาน นับตั้งแต่เปิดฤดูกาล 2019-2020 มีคะแนนทิ้งห่างทีม "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าที่ร่วงลงไปอยู่อันดับ 3 และมีคะแนนมากกว่าทีม "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ซิตี้ ที่รั้งอันดับ 2 แถมยังมีโปรแกรมแตะน้อยกว่า 1 นัด ทำให้มีโอกาสลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดที่เหล่าสาวก"เดอะค็อป" รอคอยมายาวนาน 30 ปี ไม่ใช่ฤดูกาลแรกที่ "ลิเวอร์พูล" มีลุ้นแชมป์! ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ในฤดูกาล 2013-14 ที่ลิเวอร์พูล เข้าใกล้แชมป์เช่นเดียวกัน และเป็นปีเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ "ลื่น"บรรลือโลก ของ "สตีเวน เจอร์ราร์ด"ยอดกัปตันทีมหงส์แดง จนกลายเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้ โดยในเกมนั้นเป็นศึกบิ๊กแมตช์ ช่วงค่ำของวันที่ 27 เม.ย. ลิเวอร์พูล มีโปรแกรมเจอกับทีม"สิงห์บลูส์" เชลซี ที่สนามแอนฟิลด์ของตัวเอง และถือเป็นอีกหนึ่งเกมสำคัญที่มีผลต่อการลุ้นแชมป์ โดยเหตุการณ์ช็อกโลกครั้งนั้นเกิดขึ้นในนาทีที่ 45 เมื่อ "มามาดู ซาโก้" จ่ายบอลไปให้ "สตีเว่น เจอร์ราร์ด" แต่เจ้าตัวจับบอลทะลักหลุดออกจากเท้า แต่จังหวะที่วิ่งตามไปแก้ตัวก็ดัน "ลื่น" ล้มลงไป กลายเป็นส้มหล่นให้ "เดมบา บา" กองหน้าของทีมสิงห์บลูส์ วิ่งเข้ามาตัดบอลควบเข้าไปยิงให้ เชลซี ขึ้นนำ 1-0 ก่อนที่จบเกมครึ่งแรก เกมในครึ่งหลัง ความกดดันมาตกอยู่ที่ ลิเวอร์พูล อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะบุกหนักใส่ แต่สุดท้ายก็มาเจอการโต้กลับเร็วของเชลซี ในช่วงทดเจ็บครึ่งหลัง จากประตูของ “วิลเลียน” เป็นการตอกฝาโลงให้ทีม "สิงห์บลูส์" เอาชนะไปในที่สุด ด้วยสกอร์ 0-2 และกลายเป็นจุดเปลี่ยนในการลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง เพราะจากที่นำจ่าฝูงแบบสบายๆ ก็ต้องไปลุ้นให้แมนฯซิตี ทีมอันดับ 3 ของตารางสะดุด แล้ว ลิเวอร์พูล ต้องเก็บ 6 คะแนน ใน 2 นัดสุดท้ายให้ได้เพื่อคว้าแชมป์ลีก อย่างไรก็ตาม แมนฯซิตี ที่แม้ว่าจะอยู่อันดับ 3 และมีคะแนนตามหลังลิเวอร์พูล 3 คะแนน แต่ก็แข่งน้อยกว่า 1 นัด และมีผลต่างประตูได้เสียที่มากกว่าลิเวอร์พูลถึง 8 ลูก กลับมามีโอกาสได้ลุ้นแชมป์อีกครั้ง มันช่างบีบหัวใจเหล่าสาวกหงส์แดงซะเหลือเกิน ส่วน เจอร์ราร์ด ที่ทำดีมาทั้งฤดูกาล แต่เพราะความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว กลับทำให้ชีวิตของเขาไม่เหมือนเดิม โดยจังหวะลื่นล้มได้กลายเป็นประเด็นถูกแฟนบอลทีมคู่แข่งร่วมลีกล้อเลียนยันลูกบวช จากนั้นในสัปดาห์เดียวกัน "หงส์แดง" ที่ยังอยู่ในอาการเสียขวัญ และตกอยู่ในแรงกดดัน ได้ยกพลบุกไปเยือน "คริสตัล พาเลซ" ทั้งๆที่นำเจ้าถิ่นห่างถึง 3-0 เมื่อจบครึ่งแรก แต่ว่าครึ่งหลังเจ้าบ้านใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทียิงตีเสมอ 3-3 ทำให้ฤดูกาลนั้น "แมนฯซิตี" ที่เก็บชัยชนะรวดพลิกแซงขึ้นมาซิวแชมป์พรีเมียร์สมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปีไปครองได้สำเร็จ ด้วยการมี 86 คะแนน มากกว่า "หงส์แดง"แค่ 2 แต้มเท่านั้น จากที่นำเป็นจ่าฝูงนานกว่า 10 นัด แต่ระหว่างทางกลับรักษาฟอร์มที่ดีไว้ไม่ได้ แถมยังแจกแต้มให้กับทีมเล็กๆท้ายตาราง จนถูก “แมนฯซิตี้” แซงช่วงท้ายของฤดูกาลไปแบบน่าเสียดาย ส่วน "สตีเวน เจอร์ราร์ด" กัปตันทีมก็ประกาศแขวนสตั๊ดจบเส้นทางลูกหนังแบบไม่มีแชมป์ติดมือไปในปีเดียวกัน ต่อมาในฤดูกาล 2018-2019 ที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งปีที่ ลิเวอร์พูล เข้าใกล้แชมป์มากที่สุด โดยในขณะนั้นหงส์แดงมี "เจอร์เกน คล็อปป์"กุนซือชาวเยอรมัน เข้ามาคุมทัพแทน "เบรนแดน ร็อดเจอร์ส" เมื่อปี 2015 และเขาใช้เวลาเพียงแค่ 2 ฤดูกาล ก็สามารถยกระดับทีม “ลิเวอร์พูล” ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และสามารถพาทีมขึ้นนำเป็นจ่าฝูงในตารางพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นสถานการณ์ใกล้เคียงกับซีซัน 2013/14 ที่พวกเขาเคยเบียดลุ้นบัลลังก์แชมป์มากที่สุด ทั้งนี้ “เจอร์เก้น คล็อปป์” ค่อยๆสร้างทีมขึ้นมาโดยการหานักเตะเข้ามาเสริมทัพไม่ว่าจะซื้อเข้ามา หรือดึงจากทีมเยาวชน เริ่มตั้งแต่ "อลิสซอน เบ็คเกอร์"นายทวารชาวบราซิล ที่ย้ายจาก "อาเอส โรมา" ทีมดังในอิตาลี พร้อมทั้งขึ้นแท่นกลายเป็นผู้รักษาประตูค่าตัวแพงที่สุดในโลกที่ 66.8 ล้านปอนด์อยู่ไม่กี่วัน ก่อนจะถูกทำลายลงด้วยดีลของ "เกปา อาร์ริซาบาลากา"ที่ย้ายมาซบ เชลซี จากผลงานที่เหนียวหนึบทำให้เขากลายเป็นนายทวารเบอร์หนึ่งของ หงส์แดง รวมทั้งยังขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในมือกาวเบอร์ต้นๆ ของโลกในปัจจุบัน "เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์" แบ็กขวาชาวอังกฤษ เป็นลูกหม้อที่ถูก เจอร์เกน คล็อปป์ ดันขึ้นมาจากทีมเยาวชนลิเวอร์พูล โดยลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ครั้งแรก เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2017 เมื่อ อาร์โนลด์ได้ถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทน "ฟิลิปเป คูตินโญ" มิดฟิลด์ตัวรุกของทีม ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์เอาชนะอริร่วมเมือง เอฟเวอร์ตัน 3-1 และเกือบทำประตูได้ในนาทีที่ 77 แต่ผู้รักษาประตูเอฟเวอร์ตันบินปัดเอาไว้ได้ "เวอร์จิล ฟาน ไดค์" ยอดกองหลังชาวฮอลแลนด์ ได้สถาปนาตัวเองกลายเป็นคีย์แมนของทีม และเป็นหนึ่งในเซ็นเตอร์แบ็กชั้นนำของ พรีเมียร์ลีก หลังย้ายจาก “เซาแธมป์ตัน” ทีมในพรีเมียร์ลีก มาร่วมทัพ หงส์แดง เมื่อเดือน ม.ค.2018 ที่มูลค่า 75 ล้านปอนด์ "แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน" แบ็กซ้ายชาวสกอตแลนด์ ย้ายจากทีม “ฮัลล์ซิตี” คู่แข่งร่วมลีก มาร่วมทีมลิเวอร์พูล เมื่อปี 2017 ด้วยค่าตัวแสนถูกที่ราคาแค่ 8 ล้านปอนด์ แต่ผลงานแพงกว่าค่าตัวหลายสิบเท่า พร้อมสถาปนาตนเองกลายเป็นแข้งตัวหลักในถิ่น แอนฟิลด์ และเจ้าตัวยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแบ็กซ้ายชั้นนำของโลกอีกด้วยในเวลานี้ โดยลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์เอาชนะ คริสตัลพาเลซ 1-0 "ฟาบินโญ" กองกลางชาวบราซิล ในวันที่ 28 พ.ค.2018 ลิเวอร์พูล สามารถบรรลุข้อตกลงในการคว้าตัวมาจากทีม “โมนาโก” ทีมดังในประเทศฝรั่งเศษ ด้วยค่าตัว 39.4 ล้านปอนด์ ลงเล่นในสีเสื้อลิเวอร์พูลครั้งแรกในวันที่ 18 ก.ย.2018 ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม C ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์เอาชนะทีมปารีสแซงต์แชร์กแมง จากฝรั่งเศส 3-2 ต่อมา ในวันที่ 26 ธ.ค.2018 ฟาบิญโญทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19 นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 4-0 จนกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไปแล้ว "จอร์จินโญ ไวนัลดุม" มิดฟิลด์ชาวดัตช์ ย้ายจาก “นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด” เมื่อปี 2016 ด้วยค่าตัว 23 ล้านปอนด์ ได้กลายเป็นมิดฟิลด์สารพัดประโยชน์ในแผงกองกลางของ หงส์แดง หลังจากโดดเด่นกับตำแหน่งตัวรุก แถมเกมรับในจังหวะตัดเกมก็เล่นได้ดีมาก และกลายเป็นตัวหลักของทีมไปซะแล้ว "ซาดิโอ มาเน" ดาวเตะทีมชาติ เซเนกัล ย้ายจาก “เซาแธมป์ตัน” มาเปิดตัวในถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2016 พร้อมทั้งทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยฝีเท้าที่วิ่งเร็วดั่งม้าพยศ และการยิงประตูที่เฉียบคม ส่งผลให้เขาผงาดขึ้นมาเป็นดาวซัลโวประจำทีม ยิงประตูได้แทบทุกนัดที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก กลายเป็นตัวหลักที่ลิเวอร์พูลขาดไม่ได้ "โมฮัมเหม็ด ซาลาห์" นักเตะสายเลือดอียิปต์ ย้ายจากทีม “อาเอส โรมา” เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2017 ด้วยค่าตัว 36.9 ล้านปอนด์ ประเดิมสนามให้กับลิเวอร์พูล นักแรก เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2017 และทำประตูแรกในช่วงปรีซีซั่น ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ วีแกนแอธเลติก ที่ดีดับเบิลยูสเตเดียม 1-1 ด้วยฝีเท้าที่วิ่งเร็วชนิดที่น้อยคนนักจะวิ่งตามทัน บวกกับลูกยิงที่พิสดารล้ำลึก ส่งผลให้เขากลายเป็นดาวซัลโวประจำซีซั่น 2018-2019 "โรแบร์โต เฟอร์มิโน" กองหน้าชาวบลาซิล ย้ายจากทีม “ฮอฟเฟนไฮม์” ในศึกบุนเดสลีกา ประเทศเยอรมนี ด้วยค่าตัว 29 ล้านปอนด์ รับบทบาทเป็นกองหน้าในระบบ ฟอลส์ ไนน์ ที่คอยเชื่อมเกมและเคลื่อนที่อิสระในแนวรุกประสานงานกับเพื่อน เพื่อเปิดช่องว่างคู่ต่อสู้ แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ธรรมดา ซัดไปนับ 10 ประตูให้กับต้นสังกัด นอกจากนี้ ยังมีอะไหล่ชั้นดีที่ซื้อมาในราคาถูกอย่าง "เซอร์ดาน ชากิรี - นาบี เกอิตา - อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน - เดยันลอฟเรน - ดิว็อก โอริกี - โจ โกเมซ - เจมส์ มิลเนอร์ - อาเดรียน"รวมกับตัวเก่าที่มีอยู่แล้วอย่าง "จอร์แดน เฮนเดอร์สัน" กัปตันทีม และ"อดัม ลัลลาน่า" ด้วยส่วนผสมของนักเตะที่ “เจอร์เก้น คล็อปป์” บรรจงคัดสรรมาอย่างดี ส่งผลให้ทีมขึ้นนำเป็นจ่าฝูง โดยมี แมนฯซิตี ไล่บี้มาห่างๆ แต่สุดท้ายช่วงท้ายซีซั่น “เรือใบสีฟ้า” ก็พลิกกลับแซงขึ้นมานำ “ลิเวอร์พลู” อยู่ 1 แต้ม จนได้ สาเหตุเพราะ หงส์แดง ยังคงทำแต้มหล่นหายระหว่างทางแบบน่าเสียดายเช่นเดียวกับซีซั่น 2013-14 ที่พวกเขาเข้าใกล้แชมป์ลีกมากที่สุด ถึงแม้จะไม่แพ้ แต่ก็เสมอให้กับทีมรองบ่อนเสียเป็นส่วนใหญ่ กระทั่ง การแข่งขันเดินทางมาถึงนัดส่งท้ายของฤดูกาล 2018-19 มีไฮไลต์อยู่ที่การแย่งแชมป์กัน ระหว่าง แมนฯซิตี กับ ลิเวอร์พูล โดยก่อนลงสนาม แมนฯ ซิตี มีคะแนน 95 ส่วน ลิเวอร์พูล อยู่ 94 คะแนน ซึ่งเกมนัดสุดท้าย “เรือใบสีฟ้า” จะออกไปเยือน ไบรท์ตัน ส่วน “หงส์แดง” จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ วูล์ฟแธมป์ตัน ทำให้บรรดาสาวกของหงส์แดงต้องรอโชคถึง 2 เด้ง คือให้ แมนฯซิตีเสมอ และลิเวอร์พูลเองต้องชนะสถานเดียว โดยผลการแข่งขันนัดสุดท้ายไม่เป็นใจให้กับเหล่าแฟนบอลหงส์แดงเอาเสียเลย เมื่อ “แมนฯ ซิตี” สามารถบุกไปถล่ม ไบรท์ตัน 4-1 เก็บได้ทั้งหมด 98 คะแนน ขณะที่ “ลิเวอร์พูล” ก็เดินหน้าคว้าชัยเช่นเดียวกัน หลังเปิดบ้านเอาชนะวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 2-0 แต่ยังไม่ดีพอที่จะทำให้พวกเขากลับมาคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 29 ปี จากการมี 97 คะแนน แพ้กันแค่คะแนนเดียว ได้เพียงแค่รองแชมป์ไปครอง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ 10 กว่านัด ลิเวอร์พูลยังเป็นจ่าฝูงอยู่เลย ปัจจุบัน ซีซั่น 2019 - 2020 ลิเวอร์พูล สร้างผลงานที่สุดยอด เสมอแค่ 1 นัด ที่เหลือชนะรวด ครองบัลลังก์จ่าฝูงอยู่ในขณะนี้ มีโอกาสที่จะได้ซิวแชมป์ลีกสูงสุดมากที่สุดอีกฤดูกาลหนึ่ง และนับจากนี้ ลิเวอร์พูล จะมีโปรแกรมสุดโหด "บ็อกซิ่งเดย์" หลังช่วงเทศกาลคริสต์มาส รออยู่ "บทเรียน"สำคัญที่ทำให้พลาดท่าเสียตำแหน่ง"จ่าฝูง"ใน 2 ฤดูกาลที่มีโอกาสลุ้นแชมป์ ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆที่ ลิเวอร์พูล ต้องเอาประสบการณ์เหล่านี้มาคอยเตือนใจ และจำให้ขึ้นใจต้องไม่ปล่อยให้แต้มหลุดมือไปง่ายๆ ซึ่งจากนี้ทีมต้องมีความมุ่งมั่น และมีสมาธิกับทุกเกมจนจบฤดูกาล รวมทั้งต้องรักษาฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในช่วง "บ็อกซิ่งเดย์" ที่กำลังจะเริ่มขึ้น ต้องเก็บชัยชนะให้ได้ทั้งหมด เชื่อเหลือเกินว่าปี 2020 นี้ เหล่าสาวก "เดอะค็อป"จะสมหวังในรอบ 30 ปี จากนี้ไปถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เตรียมตัวนับถอยหลัง"เถลิงแชมป์พรีเมียร์ลีก" ได้เลย...