ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “ณ ห้วงขณะหนึ่งของชีวิต....เราต่างเคยสัมผัสและอยู่กับภวังค์ “ของราตรี” นาน/เป็นฉากแสดงที่เหมือนจะมืดดำ ปิดกั้น และขาดการมองเห็น...ด้วยแสงสว่างแห่งจิตวิญญาณ...ดั่งนี้หัวใจของการมีชีวิตอยู่จึ่งถูกระบายด้วยสีสันอันเศร้าหมองของความหวังอยู่ซ้ำๆ/หากแต่การเดินทางเพื่อแสวงหาทางเลือกใหม่/กลับกลายเป็นอุบัติการณ์ที่สามารถผลัดเปลี่ยนบริบทที่คล้ายดั่งการยอมจำนนนั้น ให้เติบกล้าขึ้นใหม่...เป็นธรรมธารแห่งการวาดหวังของอนาคต/เป็นความเข้าใจที่ผลักไสความทุกข์เศร้าให้คลายจางออกไปจากบ่วงแร้วของชะตากรรม/อันเป็นส่วนที่ทำให้เกิดกับดักแห่งสัญชาตญาณของความขลาดกลัว/เมื่อบรรลุถึงจุดอันเป็นนิยามของการเริ่มต้นสู่ศานติแห่งใจนี้ได้/ภาวะแห่งการสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคจากหลุมบ่วงของชีวิตที่ไร้หวังนั้นก็จักเกิดขึ้นได้...เป็นชีวิตใหม่ที่แวดล้อมด้วยมิ่งมิตรทางปัญญาและประสบการณ์แห่งการรับรู้ในรู้สึก...ที่จะโอบประคองรอยแตกดับของชีวิตในความมืดมน..ให้ได้ประสบกับแสงสว่างทางปัญญาที่ฉายแสงออกมา...อย่างมีความหมายอันตื่นตระการได้....” ใกล้จะสิ้นปีแล้ว...ผมตัดสินใจเลือกที่จะเขียนถึงความงามและความหมายที่ได้รับอย่างอ่อนโยนและเป็นมิตร จากหนังสือที่ได้ชื่อว่าเป็น “ธรรมชีวิต” งานเขียนของผู้ผ่านชีวิตด้วยการใช้ชีวิต/ด้วยการเดินทางเพื่อแสวงหาความจริงแท้ที่ดำรงอยู่ของโลกภายนอก/และการเคลื่อนไหวอันเยียบเย็นและเป็นสัจจะที่สถิตอยู่ภายใน/การเดินทางในวิถีทั้งหมดนี้...เปี่ยมเต็มไปด้วยพลังแห่งความรู้สึกในการรับรู้ภาวะของชีวิตในทุกๆภาวะ/จากความมืดสู่ความสว่าง/จากความผิดหวังสู่ความสมหวัง และจากการพ่ายแพ้สู่ชัยชนะอันถาวร...นั่นคือสาระในการสรรค์สร้างนัยแห่งบาดแผลแห่งชะตากรรมของชีวิตให้ออกมาเป็นรูปรอยอันบริสุทธิ์ในนามของหนังสือเล่มหนึ่ง...ที่มีความถ่องแท้..เป็นดวงตาแห่งการนำทางอยู่กับตัว “ผู้ผ่านราตรีนาน”..ผลงานเขียนอันสงบงามของ/นักเขียนสารคดีในนามของนักเดินทาง...กวีในวิถีแห่งผู้แสวงหา..และ..นกบาดเจ็บที่ไม่เคยหลงลืมจิตวิญญาณแห่งคุณค่าที่งามสง่า/ “สุวิชานนท์ รัตนภิมล” “โลกมีไว้ให้เหยียบ...ไม่ได้มีไว้ให้แบก...” นี่คือสัจจะในยามที่ต้องเผชิญชีวิต มันคือบทเริ่มต้นของภาษาใจ..ที่ถูกเน้นย้ำถึงบุคลิกและบทบาทอันสำคัญของมันด้วยทรรศนะและความรู้สึกผ่านการหยั่งเห็นในความลึกแห่งการใคร่ครวญว่า.. “ภาษาใจ.. โลกไม่ได้สวยงาม ออกจากความคิด ความคิดไม่ใช่ความจริง ความเข้าใจอันปฏิเสธไม่ได้ กับดักพยัญชนะ ออกจากพยัญชนะ อิสระแห่งใจอยู่ในที่สงัด อยู่ได้./น้ำท่วม อย่าให้ท่วมใจ...โลกเป็นเช่นนั้น เราไปยึดได้อย่างไร/..เพราะโลกนี้ไม่สมบูรณ์ ถ้าโลกสมบูรณ์ไม่ต้องทำอะไร./..สังคมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา..ไม่ใช่ชีวิตเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม/...เพลงหนึ่งจบ เพลงใหม่จึงเกิดขึ้น//ชีวิตเป็นของเล่น..เมื่อเล่นไม่เป็นก็ต้องเจ็บ/Reset ตก ตั้ง ใหม่ ไม่ตกจะเอาอะไรมาตั้ง/เมื่อไม่มีแรงต้าน แรงกดดันจะมาจากไหน.../เสียงเดินทางมาหาเรานะ ไม่ใช่เราที่เดินทางไปหาเสียง/...จัดการตัวเอง ไม่มีใคร ก้าวก่ายใครได้...ดีก็ปกติ ไม่ดีก็ปกติ/...ทุกชีวิตย่อมเจอสองสิ่งนี้ ชอบใจและไม่ชอบใจ/...ในป่าอันศักดิ์สิทธิ์ ธรรมะคือชีวิต...การปฏิบัติธรรมหมายถึงการใช้ชีวิต/...ใจเรามันวิจิตร มันจึงสร้างเรื่องอันวิจิตรขึ้นมา...ให้กลมกลืนกับความเปลี่ยนแปลง/...ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ใหม่ขึ้นมากลมกลืนกับความเปลี่ยนแปลง/..ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ใหม่ขึ้นมา../.คิดเป็นพยัญชนะ..ลบพยัญชนะทิ้ง..ใจย่อมเป็นอิสระทันที..” อิสระแห่งใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ง่ายนัก...รู้ว่าแท้จริงแล้วชีวิตของมนุษย์มักถูกปิดกั้นจากสรรพข้อคิดนานา..มันคือความทุกข์ยากแห่งการแสวงหาคำตอบอันสมบูรณ์ อะไรคืออะไรในห่วงภวังค์แห่งเจตจำนง นั่นคือเป้าหมายสูงสุดในการเรียนรู้โครงสร้างของการมีชีวิตอยู่ เราต้องตอบคำถามในท่วงทำนองนี้ให้ได้ด้วยหัวใจอันเงียบสงบ คิดค้นและตอบกลับตัวเองด้วยหัวใจที่มั่นใจ แม้ว่าในบางห้วงยามเราจักเจ็บปวดสักปานใดก็ตาม นั่นไม่ใช่เหตุผลของการสยบยอม แต่มันคือบทเริ่มต้นแห่งจิตวิญญาณที่จะก้าวหมุนไปข้างหน้าอย่างไม่ค้างคารอยเจ็บปวดและข่มขืนภายใน ปล่อยชีวิตให้เผชิญหน้ากับการรับรู้สู่ความเป็นจริงให้ได้ นั่นย่อมหมายถึงว่า.. “ทั้งหมดทั้งมวลที่บังเกิดแก่ความเป็นชีวิตของเรานั้น...ที่แท้แล้ว มันเป็นซากของความจริง ความจริงนั้นจบลงแล้ว มันเหลือแต่ซาก...หากเปรียบไป..เราก็จะประจักษ์ว่า..ป่านั้นแท้จริงมาจากต้นไม้แต่ละต้น ที่ยืนยันร่วมกันว่าจะช่วยกันเติบโต เพื่อออกไปไขว่คว้าอากาศให้ไกลลึกสุดห้วงเวิ้งว้างที่สุด..สำหรับผู้ที่ผ่านราตรีนานจะยังคงแจกแจงธรรมชาติของหัวใจ..อันหมายถึงในประเด็นที่แสดงถึงว่า..ใจที่ไม่มั่นคง ธรรมชาติของจิตนั้นจะแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ..ใจมั่นคงเสียเมื่อไหร่ ไม่มี มันเสื่อมมันสิ้นอยู่ตลอดเวลา...เสื่อมไปข้างหน้า...สายฝนยังพ่นพิษสู่หัวใจผม อันที่จริงใจผมต่างหาก ที่ปล่อยพิษออกมาสู่สายฝน” นัยทางความรู้สึกตรงส่วนนี้ของ”สุวิชานนท์”ถือเป็นการอธิบายถึงวัฏจักรแห่งวงจรชีวิตอันสั่นไหวและไม่มั่นใจ...มันคือนัยปกติของการดำรงอยู่ในโลกที่กลาดเกลื่อนไปด้วยละอองไอของความทุกข์เศร้าที่สาดกระเซ็นมากระทบชีวิตในทุกเพศทุกวัย ในทุกๆบริบทแห่งการดำรงอยู่..จากที่มีความสมบูรณ์ ก็มีความเสื่อมไปข้างหน้า พอจะเปลี่ยนแปลงก็ยื้อไว้ให้คงอยู่ที่เก่า เพราะกลัวสูญเสียอัตตา สูญเสียตัวตน..เหตุนี้ “ธรรมชาติในจิตของเราจึงถือได้ว่า รกยิ่งกว่าดงดิบ...สิ่งที่รกใจ หรือดงดิบในใจนั้น จึงเปรียบดั่ง เป็นเพียงซาก.. ซากอันอับปางทั้งนั้น...นั่นย่อมทำให้การชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ ยังไงก็ชุบไม่ขึ้น ทุกๆครั้งมันกลับกดทับให้อึ้งอยู่อย่างนั้น” ครั้นเมื่อเราได้มีโอกาสสำรวจตัวเอง ให้ชัดเจนในกาย /..เมื่อยามที่ยืนอยู่ให้รู้สึกถึงฝ่าเท้าที่สัมผัสกับพื้น /แต่ครั้นเมื่อนั่งอยู่ให้รู้สึกว่าก้นส่งน้ำหนักลงถึงพื้น/แข้งขาที่วางลงให้ขัดเจนในสัมผัส/ในยามนิ่งให้จดจ่อกับอิริยาบถนั้น/นั่งให้รู้ว่านั่ง ยืนให้รู้ว่ายืน เดินให้รู้ว่าเดิน ก้าวไปแต่ละก้าวให้รู้ถึงฝ่าเท้าเคลื่อนไหว ใจไม่ตกลงไปในความคิดใดๆที่ผุดพรายขึ้นมา... “ใครบ้างที่ไม่คิดนอกจากคนตาย คิดได้แต่ต้องออกจากความคิด ไม่งั้นไม่จบ จักต้องค้างคาอยู่อย่างนั้น เรื่องจบแต่ใจยังไม่จบ” ย่อมจะส่งผลถึงว่า เราจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้..แต่.จริงๆแล้วเราจักต้องใช้ชีวิตให้อยู่กับโลกให้ได้ อยู่คนเดียวให้ได้/ ออกจากเรื่องราวต่างๆได้ ให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่า..กำลังทำอะไรอยู่ หากคิดว่ากำลังฝึกจิต ต้องนำจิตกลับมา/เพราะหากเรายังไม่ตาย เรื่องราวต่างๆก็จะยังเข้ามา /เราจะปฏิเสธเรื่องราวต่างๆได้อย่างไร/จะห้ามเรื่องราวต่างๆไม่ให้เกิดได้อย่างไร/แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องรีเซตใจ..ไม่ให้อิทธิพลต่างๆมากดทับใจ สลัดเรื่องราวเก่าๆออกไป /เรื่องใหม่ก็จะกลายเป็นเรื่องเก่า/และหากถ้าเราติดอยู่กับมัน ก็เท่ากับว่าเราติดอยู่กับซาก.. ข้อคิดในประเด็นแห่งความเป็นซากชีวิตนี้...ล้วนเป็นเรื่องที่สื่อถึงภาษาใจทั้งสิ้น /มันคือเรื่องของใจที่ร้อยเรียงเป็นพยัญชนะขึ้นมากักขังหัวใจตัวเอง/...แน่นอนว่าเรื่องของคนอื่นเราไม่อาจจะเข้าไปก้าวก่ายได้/เพราะฉะนั้น เราจึงจะต้องจัดการกับหัวใจตัวเอง..เพื่อให้เกิดอิสระแห่งใจขึ้นมา...มันเป็นเรื่องที่ง่าย...เรื่องที่ไม่ยาก..แต่ที่มันยากก็อยู่ตรงที่เราต่างไม่ทำกัน.. “วันนี้ต่างจากเมื่อวาน นาทีปัจจุบันผ่านไปเร็ว ผ่านไปเป็นอดีตในชั่วลมหายใจ ไม่อาจยึดจับไว้ได้ ครั้นจะยึดจับไว้ ก็ไม่รู้จะไปยึดจับกับอะไร...มันผ่านไปแล้ว ไม่มีแล้ว เรื่องใหม่กำลังมา ...เรื่องใหม่กำลังเกิด...พยัญชนะชุดใหม่กำลังเรียงหน้าจู่โจมเข้ามา รวดเร็วฉับพลันทันใด...ชีวิตดำเนินไปเช่นนั้น” ประเด็นความคิดในการความเป็นตรรกะแห่งการดำรงอยู่ทั้งหมดนั้นคือ บทสรุปแห่งความวาดหวังที่ว่า จริงๆแล้วเราต่างหวังอะไรในชีวิตกันบ้าง เมื่อไม่มีสิ่งใดที่จริงสักอย่างในชีวิตของเรา /มันมีแต่การดำเนินไป ...ใจต่างหาก ที่ต้องเฝ้าสังเกต /ครั้นเมื่อใจตกเมื่อไหร่ให้ตั้งใหม่ทันที จนกลายเป็นอัตโนมัติ เราจะพ้นจากแรงกดทับใจเราได้จริงๆ “ใจเราเรียบเรียงพยัญชนะได้เร็วเหลือเกิน รีเซตแล้วลบพยัญชนะทิ้ง/ตก ตั้ง ใหม่/จึงเป็นหนทางเผชิญความจริงที่ใช้ได้ตลอดเวลา ทุกอาชีพของมนุษย์ ..ไปให้ถึงความจริงในสัจธรรม ให้รู้เห็นความว่างเปล่าที่กำกับชีวิตของเราไว้ราวกับเงา...ผู้ผ่านราตรีนานแนะนำด้วยการเปิดประตูภาษาใจ ฟังเสียงภาษาใจเป็น และพบภาษาใจได้ด้วยตัวเอง...ดั่งนี้แล้ว...อิสระแห่งใจจึงจะเกิด” นี่คือหนังสือที่ทบทวนกระบวนแห่งสำนึกคิดของชีวิต..มันคือแบบเรียนของบทเรียนที่ขุดค้นลึกลงไปสู่เบ้าหลอมถึง รากเหง้าแห่งจิตวิญญาณทางความคิด ที่แปรค่าเป็นความหมายของการมีชีวิตอยู่ดั่งผู้หยั่งเห็น อันหมายถึงผู้ที่ใช้ชีวิตในเชิงประสบการณ์ด้วยความตระหนักรู้ในคุณค่าแห่งใจที่ปราศจากการควบคุมจากมายาคติและกฎเกณฑ์ใดๆ/การทำงานด้วยประสบการณ์ด้านลึก การเขียนถึงประสบการณ์ด้วยเนื้อในแห่งความรู้สึกของชีวิต ที่ล่วงข้ามผ่านมิติของกาลเวลาอันมืดดำ/มันคือประกายแห่งการส่องสว่างที่เป็นยิ่งกว่าคำสารภาพแห่งการปลดปลงใดๆ/..แต่แท้จริงมันคืออุทาหรณ์แห่งการฟื้นสติ ต่อผู้ที่สูญเสียอำนาจหยั่งรู้ในทางจิตวิญญาณ ให้หวนกลับมาสู่ความสงบนิ่ง ภายใต้การตระหนักรู้แห่งการไขว่คว้าหาความจริงในการเอาชีวิตรอด..แน่นอนว่าประสบการณ์มากมายมันเกิดขึ้นอย่างเหนือการคาดคะเนในชีวิตของ “สุวิชานนท์”/แต่การเฝ้ามองมันอย่างรื่นรมย์และเข้าใจ กระทั่งสามารถเอาชนะอุปสรรคที่หน่วงหนักที่เป็นเสียยิ่งกว่าศัตรูผู้แข็งกร้าวได้นั้น/ย่อมคือชัยชนะอันถาวรที่ฝังจำอยู่ในจิตวิญญาณไม่รู้ลืม../ ปีเก่ากำลังจะล่วงผ่านไป/ปีใหม่กำลังจะมาถึง/...ณ ขณะที่สังคมประเทศกลับกำลังถูกครอบงำด้วยความต่ำตมทางการเมืองที่มืดดำและไร้ความหวัง/รวมทั้งศีลธรรมอันจอมปลอมที่เต็มไปด้วยความปลิ้นปล้อน/ทั้งหมดกำลังเฝ้าหลอนหลอกเราอยู่ในทุกเวลานาทีเหมือนเช่นในขณะนี้/การมีโอกาสได้อ่านและสดับความรู้อันสูงค่าผ่านหนังสือแห่งประสบการณ์ด้านมโนสำนึกที่เป็นดั่งแสงสว่างทางปัญญาสักเล่ม/ย่อมคือความสงบงามแห่งโชคชะตาในนามของชีวิต ที่ไม่อาจมองข้ามผ่านไปได้...แม้เมื่อใด “ในความมืดสลัว..มองไปข้างไหนก็เห็นแต่เงาทึมเทา...มองเห็นลายนิ้วมือไม่ชัดเจน ผมเดินเท้าเปลือยเปล่าไปเรื่อยๆ..เดินไปบนความนุ่มของพื้นหญ้าป่าน้ำค้าง..เดินรู้จักตัวเอง เดินเพื่อให้เกิดสัมผัสรู้ในความจริง” ผู้ผ่านราตรีนาน.ย่อมมีชีวิต...ที่ดำเนินเป็นจริงอยู่บนปลายเท้า..เช่นนี้..