"ALL"เผยโค้งสุดท้ายเติบโตอย่างโดดเด่น พร้อมระบุ Q4/62 พีคสุดในรอบปี มั่นใจรายได้ปี 2562 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ระบุมาตรการภาครัฐหนุนภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สดใส ระบุตุน Backlog 11,400 ล้านบาท คาดเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 4/2562 ประมาณ 40% เผย Backlog ดังกล่าวเป็นสินค้าในกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์มาตรการลดค่าโอน-ค่าจดจำนองกว่าครึ่งโครงการ ล่าสุดมีสต็อกสินค้าต่ำกว่า 3 ล้านบาทจากพอร์ตทั้งหมดมูลค่ารวมประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือกว่า 40% ด้านโบรกฯเชียร์ซื้อพร้อมกำหนดราคาเป้าหมาย 6.25-6.48 บาท นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ ALL เปิดเผยว่า กรณีที่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ออกมาประเมินภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2562 และอัตราการเติบโตปี 2562 โดยมองว่า ALL มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากมองว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2562 ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้บริโภคจะมีกำลังซื้อ ขณะเดียวกันภาครัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ส่งท้ายปี ยิ่งส่งผลเชิงบวกทางด้านจิตวิทยา ต่อผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในยุคปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคเรียลดีมานด์ ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่ง ALL สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่อยู่อาศัยได้ครบทุกมิติของคอนโดมิเนียม ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ช่วงโค้งสุดท้ายของกลุ่มธุรกิจ ALL มีความคึกคักและมีสีสันอย่างเห็นได้ชัด สำหรับโครงการ ALL ที่ได้รับอานิสงส์ จากมาตรการดังกล่าวประกอบด้วย 1.โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 50 (The Excel Hideaway Sukhumvit 50) 2.โครงการดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 71(The Excel Hideaway Sukhumvit 71) 3.โครงการ ดิ เอ็กเซล คูคต (The Excel Khukhot) 4.โครงการไรส์ พระราม 9 (Rise Rama 9) 5.โครงการเดอะ วิชั่น ลาดพร้าว-นวมินทร์ (The Vision Ladprao-Nawamin) 6.โครงการดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ รัชดา-ห้วยขวาง(The Excel Hideaway Ratchada-Huai Khwang) 7.โครงการ ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว-สุทธิสาร (The Excel Ladprao-Sutthisan) ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ที่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้และจะโอนกรรมสิทธิ์ในปี 63 มูลค่ารวมกว่า 40% จาก Backlog ทั้งหมด 11,400 ล้านบาท โดยกว่า 40% ของโครงการทั้งหมดที่มีในมือมูลค่ารวมประมาณ 8,000 ล้านบาทเป็นโครงการที่มีระดับราคาขายตั้งแต่ 1.5-3 ล้านบาท สอดคล้องกับมาตรการที่จะช่วยลดค่าโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ซึ่งผลจากมาตรการดังกล่าว ทำให้บริษัทเชื่อว่า ตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงปี 63 จะมีแรงซื้อจากอานิสงค์มาตรการดังกล่าว ทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “จากมาตรการดังกล่าว ผนวกกับกลยุทธ์การเจาะตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานและอัตราการเติบโตในปี 62 มีแนวโน้มเติบโตเป็นอัตราร้อยละที่ไม่น้อยกว่าสองหลัก เมื่อเทียบกับจากก่อนที่มีรายได้รวม 2,342.97 ล้านบาท ซึ่งรายได้รวมดังกล่าวคาดว่าเป็นรายได้ที่ทำสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยจะเห็นได้จากในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมีความสามารถในการทำรายได้รวมแล้ว 2,339.38 ล้านบาท” โดยในช่วงไตรมาสที่เหลือ ประกอบกับยอดขายรอโอน (Backlog) รวมมูลค่ากว่า 11,400 ล้านบาท ที่คาดว่าจะทยอยรับรู้ในช่วงไตรมาส 4/2562 ประมาณ 40% ของมูลค่ารวมทั้งหมด ทำให้บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมการเติบโตของ ALL ในไตรมาส 4/2562 จะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 2562 เติบโตกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านบาท สำหรับ ณ สิ้นไตรมาส 3/2562 บริษัทมียอดขายรอโอน รวมมูลค่ากว่า 11,400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้ในช่วงไตรมาส 4/2562 ประมาณ 40% โดย Backlog ทั้งหมดดังกล่าวเป็น Backlog ที่เป็นสินค้าในกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ประมาณครึ่งหนึ่งของยอดทั้งหมด ทั้งนี้ยอด Backlog ทั้งหมดแบ่งเป็นโครงการทาวน์โฮม จำนวน 300 ล้านบาท,โครงการประเภท High Rise จำนวน 3,400 ล้านบาท และโครงการประเภท Low Rise จำนวน 7,700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องถึงปี 65 ทำให้บริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีจากนี้ (2563-2565)ว่าจะมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียพลัส จำกัด แนะนำซื้อหุ้น ALL กำหนดราคาเป้าหมายที่ 6.48 บาทต่อหุ้น โดยประเมินว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/2562 (ต.ค.-ธ.ค.62)จะโดดเด่นที่สุดของปี และคาดว่าจะมียอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ระดับ 1,100 ล้านบาท จากคอนโดมิเนียมใหม่ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 50 ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุน ที่จะเริ่มโอนเดือนธ.ค.62 คาดว่าจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมทุนสุทธิที่ 8 ล้านบาท และหนุนกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 4/2562 อยู่ที่ระดับ 144 ล้านบาท อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4/2562 ยังมีการส่งมอบคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการคือ โครงการ อิมเพรสชั่น ภูเก็ต และโครงการดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 71 ช่วงเดือนธ.ค.62 ขณะปัจจุบันมียอด Backlog ของ 2 โครงการดังกล่าวรวม 2,700 ล้านบาท นอกจากนี้ ALL ยังมีโครงการเดิมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 14 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 7.8 พันล้านบาท พร้อมที่จะสร้างยอดขายช่วงไตรมาส 4/2562 เพื่อเติมเต็มเป้า Presales ปี 2562 ที่ ALL ตั้งไว้ที่ 7 พันล้าน หลังจากช่วง 9 เดือนแรกของปี 62 (ม.ค.-ก.ย.62) มียอดขายสะสมรวมแล้ว 6.5 พันล้านบาท ขณะที่ปี 63 ALL มีแผนรุกโครงการแนวราบมากขึ้น ทั้งในรูปแบบทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว หลังจากเปิด The Vision มูลค่า 1.4 พันล้านบาท และได้รับตอบรับที่ดี ด้วยยอดขาย 47% (เปิด 2 เฟสจากทั้งหมด 3 เฟส) ขณะที่คอนโดมิเนียมจะขยายในกลุ่ม Low Rise (200-300 ยูนิตต่อโครงการ) แบรนด์ The Excel (มี 2 โครงการที่เลื่อนจากปีนี้ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท) รวมถึงยังมองโอกาสในเพิ่มรายได้ Recurring Income (รายได้ประจำ) โดยฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ได้ประเมินผลการดำเนินงานในปี 2562-2563 ของ ALL ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 คาด ALL จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 486 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 343 ล้านบาท และจะมีรายได้รวมที่ระดับ 3,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวมที่ 2,300 ล้านบาท และในปี 2563 คาด ALL จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 519 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน และจะมีรายได้รวมที่ระดับ 4,336 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัดกำหนดราคาเป้าหมายหุ้น ALL ที่ 6.25 บาทต่อหุ้น โดยประเมินว่ามาตรการรัฐทั้งการลดค่าธรรมเนียมและช่วยลดเงินดาวน์จะช่วยเร่งการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาส 4/2562-1/2563 ประกอบกับการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องจะเสริมการรับรู้รายได้ในอนาคต อีกทั้งบริษัทเน้นเพิ่มรายได้ Recurring Income โดยได้ลงทุนในสิทธิการเช่า The New Forum Plaza ซึ่งเป็น Commercial Property คาดเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาส 2/2563 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 4/2562-2/2563 จะมีโครงการแล้วเสร็จใหม่ราว 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งมี Take Up Rate เฉลี่ยอยู่ในระดับที่สูง 80-85% โดยบริษัทคาดว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงเวลาดังกล่าว ที่โดดเด่นจากแรงหนุนการส่งเสริมของภาครัฐทั้งมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% รวมไปถึงโครงการบ้านดีมีดาวน์ ซึ่งช่วยลดเงินดาวน์(Cash Back) จำนวน 50,000 บาท เนื่องจากโครงการที่แล้วเสร็จส่วนใหญ่มีราคาที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้ซื้อได้ประโยชน์จากทั้ง 2 มาตรการดังกล่าวที่ออกมาส่งเสริม