วันที่ 21 มี.ค.60 ที่ศูนย์ประสานงานเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.) ตั้งอยู่เลขที่ 252 ม.2 ต.สันทรายน้อย อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ มีเครือข่ายองค์กรชนเผ่า จำนวน 31 องค์กร ประกอบไปด้วยเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.),เครือข่ายเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมือง ,เครือข่ายสร้างสรรค์อนาคตเยาวชน (Sangsan) เครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อความเท่าเทียมระหว่างเพศ (CSOs for Gender Equality) Rainbow dream group เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองภาคใต้ สภาชาติพันธุ์ชาวเล ชนเผ่ามอแกน มอแกลน อุรักลาโว้ย เครือข่ายสตรีชนเผ่าแห่งประเทศไทย เครือข่ายสื่อสร้างสรรค์ แม่ฮ่องสอน เครือข่ายไทใหญ่ ศูนย์ศึกษาและฟื้นฟูนิเวศวัฒนธรรมชุมชนเทือกเขาเพชรบูรณ์ โครงการพัฒนาพื้นที่สูง (UHDP) มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ (ส่งเสริมโอกาสผู้หญิง) มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม ศูนย์เพื่อนหญิงอานาจเจริญ สมาคมผู้หญิงเพื่อสันติภาพ สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย เครือข่ายปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเผ่าพื้นเมือง มูลนิธิภูมิปัญญาชาติพันธุ์ เครือข่ายผู้หญิงใจอาสาเมือง ชมรมอาสาสมัครกฎหมายเพื่อผู้หญิง มูลนิธิพิทักษ์สตรีและเด็ก เครือข่ายพิทักษ์สิทธิมนุษยชนชาติพันธุ์ มูลนิธิภูมิปัญญาชาติพันธุ์ เครือข่ายการทางานด้านเด็กและเยาวชน 58 องค์กร สมาพันธ์เพื่อช่วยเหลือชาวมอญผู้ประสบภัยตามแนวชายเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตงานตะนาวศรี มูลนิธิภูมิปญญาชนเผาพื้นเมืองบนพื้นที่สูง เครือขายสื่อชนเผาพื้นเมือง มูลนิธิชนเผาพื้นเมืองเพื่อการศึกษาและสิ่งแวดลอม มูลนิธิพัฒนาความร่วมมือของชนเผ่าพื้นเมืองแห่งเอเชีย (AIPP Foundation) ร่วมลงนามแถลงการณ์ ประณามเจ้าหน้าที่ทหารที่วิสามัญ ฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแส อายุ 17 ปี แกนนาเยาวชนชาวลาหู่ นักกิจกรรมทาง สังคม และประธานเครือข่ายเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมือง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยข้อความแถลงการณ์ ระบุว่า จากกรณีการวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแส อายุ 17 ปี แกนนำเยาวชนชาวลาหู่ นักกิจกรรมทาง สังคม และประธานเครือข่ายเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมือง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยถูกทหาร สังกัดกองร้อยทหารม้าที่ 2 บก.ควบคุมที่ 1 หน่วยเฉพาะกิจกรรมทหารม้าที่ 5 ที่ตั้งจุดตรวจค้นยาเสพติดบริเวณ ด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ วิสามัญฆาตกรรม และได้จับกุมเพื่อน (นายพงศ์นัย แสงตะล้า อายุ 19 ปี) ไปหนึ่งคนด้วย เหตุการณ์ดังกล่าว ได้สร้างความอาลัยและสะเทือนใจแก่เพื่อนนักกิจกรรมทางสังคม เครือข่ายเด็กและ เยาวชน ภาคีหน่วยงานรัฐและองค์กรที่ทางานปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่ง ประเทศไทย (คชท.) เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากนายชัยภูมิเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่ชอบความรุนแรง เป็นเยาวชนที่มี ความเสียสละทุ่มเทเวลาส่วนตัวในการทากิจกรรมเพื่อชุมชน เพื่อเด็กไร้สัญชาติ ได้มีโอกาสในสังคม ความมุ่งมั่น ในการพัฒนาศักยภาพของตัวเองจึงได้กลายเป็นแกนนาเยาวชน ทั้งในการเรียนยังเป็นนักเรียนที่เรียนดี ได้อันดับ ที่ 2 ในชั้นเรียนและยังเป็นนักกิจกรรมที่ออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิและสถานะให้กับผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทย รวมทั้งยังเป็นศิลปินชาวลาหู่ (นักดนตรีและแต่งเพลงที่ช่วยสะท้อนปัญหาเด็กไร้สัญชาติจนเป็นที่ยอมรับ) ชัยภูมิ มีนิสัยที่อ่อนโยน รักเพื่อน พี่น้อง ชอบออกค่ายอาสา และมีผลงานในการทาหนังสั้นส่งประกวดและถูกเผยแพร่ ทางสื่อสาธารณะมากมาย นับได้ว่าเป็นเยาวชนที่เป็นแบบอย่างของชนเผ่าพื้นเมือง ที่มีความเสียสละเพื่อ ส่วนรวมอย่างแท้จริง ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ทหารได้วิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแส ซึ่งยังเป็นเยาวชนนั้น ถือว่าเป็น เหตุการณ์ที่กระทำเกินกว่าเหตุ โดยเฉพาะประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 เป็นต้น ซึ่งได้กำหนดมาตรการตางๆ ที่สำคัญเพื่อคุมครองเด็กทั้งทางร่างกาย จิตใจ ชื่อเสียง หรือสิทธิ ประโยชน์อื่นของเด็ก ทางกลุ่มครือข่ายองค์กรชนเผ่า จำนวน 31 องค์กร จึงได้ร่วมลงนามออกแถลงการณ์เรียกร้อง 3 ข้อ 1.ขอประณามการกระทำของที่เจ้าหน้าที่ทหารที่ได้วิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแส ถือเป็นการกระที่โหดร้ายป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรม 2.ขอเรียกร้องต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะ “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายชัยภูมิ ป่าแส ถูกเจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตกรรมในครั้งนี้ โดยเร่งด่วน 3.ขอให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องด้านความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนมีมาตรการและกลไกในการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ และคืนความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและญาติผู้ตายและเพื่อนผู้ตายที่ถูกจับกุมคุมขังอยู่ในขณะนี้ อย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ คชท.ร่วมกับภาคีองค์กรและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จะได้ติดตามความคืบหน้าในการดาเนินการตรวจสอบตามข้อเรียกร้องข้างต้น และยินดีสนับสนุนการปฏิบัติการที่ดีของบุคคลและหน่วยงานทุกภาคส่วน ต่อไป