หายนะแม่น้ำโขงเปลี่ยนสี จากสายน้ำที่สมบูรณ์สู่สายน้ำที่หิวโหย หลายพื้นที่ได้หยิบยกความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมาโปรโมตเป็นจุดขายทางการท่องเที่ยว ความจริงคือปรากฏการณ์แห่งความหายนะของแม่น้ำโขง ภาวะไร้ตะกอน ระบบนิเวศแม่น้ำโขงถูกทำลายสิ้นเชิง เยียวยาได้ก็ต่อเมื่อเขื่อนไซยะบุรีเสียสละหยุดปั่นไฟ เร่งระบายตะกอนที่ถูกกักในน้ำเหนือเขื่อนลงมา
จากกรณีเกิดปรากฏการณ์น้ำในแม่น้ำโขงเปลี่ยนเป็นสีฟ้าคล้ายน้ำทะเลหรือสีครามสวยงาม สร้างความตื่นตาแก่ผู้ที่ได้พบเห็น จนหลายพื้นที่ได้หยิบยกความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมาโปรโมตเป็นจุดขายทางการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม นักสิ่งแวดล้อมและนักวิชาการที่ติดตามศึกษาระบบนิเวศลำน้ำโขงกลับมองถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่าเป็นความผิดปกติที่นำไปสู่ผลกระทบมากมายต่อสิ่งมีชีวิตในลำน้ำนานาชาติสายใหญ่สายนี้
ล่าสุด ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.มหาสารคามและผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาแม่น้ำโขง ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า ไม่ต่างจากหายนะที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำโขง สีของน้ำในแม่น้ำโขงที่เป็นสีครามเกิดจากน้ำในแม่น้ำโขงใส ไร้ตะกอนในน้ำ และการใสไร้ตะกอน ผิวน้ำจึงเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนแสงของท้องฟ้ากลายเป็นสีคราม แต่หากลงไปดูดีๆ น้ำในแม่น้ำโขงใสมาก ทางวิชาการเรียกภาวะแบบนี้ว่า "hungry river" แปลว่า "ภาวะไร้ตะกอน" แต่จะให้เข้าใจเลยก็คือเกิดภาวะ "สายน้ำที่หิวโหย"
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานับแต่แม่น้ำโขงเป็นที่รู้จักของชาวตะวันตก แม่น้ำโขงจะได้รับฉายาจากผู้สื่อข่าว นักทำสารคดี นักเขียนว่า "Mighty Mekong" สายน้ำโขงที่อุดมสมบูรณ์ สีของสายน้ำนี้จะเป็นสีปูน เพราะมีตะกอนที่เกิดจากการกษัยการ (หรือการพังทลาย) ของหินและดินหอบมากับสายน้ำ
ตะกอนที่พัดพามากับสายน้ำโขง เมื่อน้ำโขงไหลไปตามสายน้ำ และมีแม่น้ำสาขาไหลลงมาบรรจบก็จะทำให้เกิด "แม่น้ำสองสี" ในแทบทุกที่ เช่น ที่ปากมูลก็เกิดแม่น้ำสองสี "โขงสีปูน มูลสีคราม" คือน้ำสาขาจะมีสีคราม แต่น้ำโขงมีสีปูน
อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้แม่น้ำโขงไม่ได้เป็น Mighty Mekong อีกแล้ว กลายเป็น "Hungry Mekong" เพราะหลังจากเขื่อนไซยะบุรีสร้างเสร็จก็มีการกักเก็บน้ำไว้เหนือเขื่อนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนกระทั่งน้ำท้ายเขื่อนแห้งและปลาตาย
มีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าเหนือเขื่อนไซยะบุรีมีน้ำเต็มและนิ่ง ขณะที่ท้ายเขื่อนน้ำแห้ง หลายแห่งที่เคยมีน้ำมองดูราวกับทะเลทรายเหลือแต่น้ำในร่องน้ำลึกที่ยังไหล ถ้าน้ำโขงกว้างก็จะไหลเอื่อย หากแคบมีแก่งน้ำก็พอยังจะเชี่ยว แต่ไม่ได้ไหลแรงตามธรรมชาติ
เขื่อนไม่ได้เก็บและปล่อยน้ำแบบที่โฆษณาว่า "ไหลมาเท่าไหร่ ปล่อยไปเท่านั้น" แท้ที่จริงเขื่อนจะปล่อยน้ำในช่วงผลิตกระแสไฟฟ้า หรือเรียกง่ายๆ ว่าตอนนี้เขื่อนได้ควบคุมน้ำโขงไว้ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า น้ำโขงถูกล่ามโซ่
เมื่อน้ำโขงถูกควบคุม น้ำเหนือเขื่อนที่ลึกและนิ่ง ทำให้ตะกอนที่พัดพามากับสายนเเหนือเขื่อนและอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำของเขื่อน การปล่อยน้ำผ่านเทอร์ไบน์ต้องมีระดับน้ำที่ต่างกัน ซึ่งเรียกว่า head เขื่อนไหนๆ ก็มี เขื่อนไซยะบุรีที่เรียกว่าเขื่อนน้ำไหลผ่าน (run-off river dam) ก็ต้องมี head และ head ที่นี่ก็หลายสิบเมตร น้ำที่ไหลผ่านเทอร์ไบน์ลงท้ายเขื่อนจึงเป็นน้ำที่ไม่มีตะกอน
กรณีแม่น้ำโขง นอกจากตะกอนทับถมเหนือเขื่อนแล้ว ทางท้ายเขื่อน เมื่อน้ำไม่ไหลเชี่ยวเหมือนเดิมนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา บริเวณที่เป็นหาดทราย แก่งหิน และป่าน้ำท่วม (ป่าไคร้) เช่น ที่พันโขดแสนไคร้ น้ำที่เคยไหลเอื่อยก็แทบไม่ไหล และบ่อยครั้งที่น้ำลดจนแห้งราวขอด บริเวณที่น้ำไหลเอื่อยๆ ตามธรรมชาตินี่แหละที่ทำให้หาดทราย ป่าไคร้ เป็นบ้านของสัตว์น้ำเล็กๆ ทั้งหอย ปู ปลา กุ้ง ที่อาศัยความอุดมสมบูรณ์ของสายน้ำที่ไหลมาจากข้างบน การที่น้ำโขงแห้งเพราะถูกล่ามโซ่ นอกจากทำให้ต้นไม้ตายเพราะไม่จมอยู่ใต้น้ำตามวัฏจักรแล้ว สัตว์น้ำจำนวนมากก็ตายด้วย และยังทำให้ตะกอนที่พอจะเหลือจากที่ถูกกักไว้เหนือเขื่อนเกิดการตะกอนอีกครั้ง ป่าไคร้ที่พันโขดแสนไคร้จึงมีตะกอนทับถมสูง บางจุดตะกอนทับถมเหลือแต่ปลายต้นไคร้ บางจุดสูงมากกว่า 2 เมตรเมื่อตะกอนถูกกักไว้เหนือเขื่อนและยังตกตะกอนบริเวณที่เคยเป็นหาดทรายและป่าน้ำท่วม ยิ่งไกลจากท้ายเขื่อนน้ำก็ยิ่งใสราวกระจก และเมื่อสะท้อนแสงจากท้องฟ้าก็ยิ่งกลายเป็นสีคราม แต่คือสัญญาณอันตรายของแม่น้ำสายนี้
ดร.ไชยณรงค์ ระบุถึงความสำคัญของตะกอน คือธาตุอาหารที่สำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของพืชน้ำ เมื่อสายน้ำโขงเกิดภาวะไร้ตะกอน ความอุมดสมบูรณ์ของพืชน้ำก็ลดตามลง ที่บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย ในเวลานี้ กลุ่มรักษ์แม่น้ำโขงได้สังเกตพบว่าแม่น้ำโขงบริเวณที่เคยมีตะไคร่น้ำที่ชาวบ้านเรียกว่าเทาหรือไก ไม่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างที่เคยเป็น
ในอดีตแม่น้ำโขงบริเวณที่เกิดเทาหรือไกจะมีปลามาเล่นน้ำ กินเทาหรือไกเป็นอาหาร และผสมพันธุ์ แต่ปีนี้กลับว่างเปล่า
“แม่น้ำโขงในภาวะไร้ตะกอนจะส่งผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศน์แม่น้ำโขง เพราะการขาดธาตุอาหารที่ไหลมากับน้ำจะส่งผลกระทบต่อสาหร่าย พันธุ์พืชขนาดเล็กๆ ไปจนถึงพันธุ์พืชขนาดใหญ่ ซึ่งอาจรวมไปถึงป่าน้ำท่วมแถบสตึงเตร็งในกัมพูชา” ดร.ไชยณรงค์กล่าว และบอกอีกว่าเมื่อพันธุ์พืชไม่อุดมสมบูรณ์ ปลาที่กินพืชเป็นอาหารก็จะลดลง และปลาที่กินเนื้อก็จะขาดอาหารไปด้วย คือหายนะที่เกิดกับแม่น้ำโขงอย่างแท้จริง ไม่ใช่เฉพาะปลากินพืชที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่ปลาทั้ง 1,300 สายพันธุ์ก็กระทบไปหมด พวกนักสร้างเขื่อนมักจะบอกว่า เห็นมั้ย เขื่อนมันดีนะ "มีการจัดการน้ำให้ดี หน้าฝนน้ำไม่ท่วม หน้าแล้งมีน้ำ"
แต่การทำแบบนี้คือการกระทำที่โง่เขลามาก เพราะการล่ามโซ่แม่น้ำ ทำให้ไม่เกิดน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก และพื้นที่เพาะปลูกในฤดูน้ำลดจะขาดความอุดมสมบูรณ์ นักสร้างเขื่อนไม่รู้หรอกว่าตะกอนที่พัดพามาทับถมในฤดูน้ำหลากคือปุ๋ยธรรมชาติที่ดีที่สุด และทำให้ริมฝั่งโขงเป็นพื้นที่เพาะปลูกที่สมบูรณ์ที่สุดในอีสาน
ทั้งนี้ ดร.ไชยณรงค์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนการสร้างเขื่อน แม่น้ำโขงแถบหนองคายจนถึงนครพนมคือพื้นที่ปลูกมะเขือเทศที่ดีที่สุดของประเทศ เพราะมะเขือเทศที่นี่ให้เนื้อมาก และผลผลิตมะเขือเทศที่นี่คิดเป็นร้อยละ 50 ของที่ผลิตทั้งประเทศ จนทำให้ประเทศไทยเป็นอีกประเทศที่ส่งซอสมะเขือเทศไปขายต่างประเทศได้ ในตอนนี้น้ำไม่ท่วม ไม่มีปุ๋ยจากธรรมชาติ การเพาะปลูกก็ต้องใช้ปุ๋ยเคมี และภาระก็จะตกแก่เกษตรกรและผู้บริโภคในที่สุด
ดร.ไชยณรงค์กล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวว่า จริงๆ แล้วสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน วิธีเยียวยาแม่น้ำโขงมีไม่มากนัก แต่อย่างน้อยที่สุดกลุ่มทุนที่ยึดแม่น้ำไปทำเขื่อนต้องเสียสละ หยุดปั่นไฟ และต้องรีบปฏิบัติการระบายตะกอน แต่มาตรการนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะฟื้นฟูแม่น้ำโขงให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้
ดังนั้น ในระยะยาวทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเขื่อนโดยเฉพาะเขื่อนไซยะบุรีต้องคิดถึงการยกเลิกการใช้เขื่อน (dam decommissioning) เพราะผลกระทบที่เกิดจากเขื่อนแห่งนี้มันขยายวงกว้างและสร้างผลกระทบที่เรียกได้ว่า "ภัยพิบัติทางนิเวศ" ครั้งร้ายแรงในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Chainarong Setthachua
ภาพจากกลุ่มไลน์คนฮักแม่น้ำโขง