ดนตรี / ทิวา สาระจูฑะ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ตรงกับวันเกิดครบ 80 ปีของยอดศิลปินหญิงไร้เทียมทาน ทิน่า เทอร์เนอร์ เจ้าของสมญา “ราชินีร็อค แอนด์ โรล” ตลอดช่วงยาวนานของอาชีพศิลปินบันทึกเสียง ทิน่า ขายอัลบั้มรวมได้มากกว่า 200 ชุดทั่วโลก เป็นหนึ่งในศิลปินที่ขายผลงานดีที่สุดตลอดกาล การแสดงสดหน้าเวทีเป็นอีกอย่างที่สร้างชื่อเสียงให้เธอ ด้วยเสียงร้องยอดเยี่ยม และลีลาที่เร้าใจ เต็มด้วยพลัง คอนเสิร์ตของเธอเกือบทุกครั้งมักขายบัตรหมดเกลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลก กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ เคยบันทึกว่า การแสดงต่อหน้าฝูงชนกว่า 180,000 คนที่ มาราคาน่า สเตเดียม ในกรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล เมื่อเดือนมกราคม 1998 “เป็นร็อคคอนเสิร์ตแบบจ่ายเงินซื้อบัตรเข้าชมที่ใหญ่ที่สุดสำหรับศิลปินเดี่ยว” (ปัจจุบันสถิติอาจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว) และการทัวร์ Twenty Four Seven Tour ในปี 1999-2000 เป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำเงินสูงสุดในปีนั้น มากกว่า 100 ล้านเหรียญอเมริกา นอกจากนี้เธอยังได้รับรางวัลทางดนตรี รวมถึงรางวัลเกียรติยศในอาชีพจากสถาบันและองค์กรต่างๆ อีกมากมายจนจดจำไม่หวาดไหว แต่ชีวิตก็คือชีวิต ไม่มีใครเพียบพร้อมตั้งแต่เกิดจนถึงตาย และชีวิตของ ทิน่า ก็ยิ่งห่างไกลจากคำว่า “สมบูรณ์แบบ” แอนน่า เม บัลล็อค คือชื่อจริงของเธอ ทิน่า เป็นลูกสาวคนเล็กสุดในบรรดาพี่น้อง 3 คนของครอบครัว เธอเกิดในนัทบุช, เทนเนสซี อายุ 11 ปีเมื่อพ่อแม่แยกทางกัน สามพี่น้องตามแม่ไปอยู่ที่เซนต์หลุยส์ หลังจบมัธยมปลาย เธอเข้าไปทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาล เธอและพี่น้องก็เริ่มไปนั่งดูดนตรีตามคลับบ่อยขึ้น และวงโปรดของเธอคือ คิงส์ ออฟ ริธึ่ม ที่มี ไอค์ เทอร์เนอร์ เป็นหัวหน้าวง คืนหนึ่งในปี 1957 ทิน่า ในวัย 18 ปี ถูกยื่นไมค์ให้ร้องเพลงในช่วงวงพัก การร้องของเธอประทับใจ ไอค์ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทั้งคู่ทำงานร่วมกัน และกลายเป็นสามีภรรยากันในที่สุด ทิน่า เป็นดาราชูโรงสำหรับการแสดงของ คิงส์ ออฟ ริธึ่ม และต่อมาพวกเขาก็เปลี่ยนชื่อเป็น ไอค์ แอนด์ ทิน่า เทอร์เนอร์ พร้อมกับเพลงฮิทแรก "A Fool in Love" ในปี 1960 จากนั้นก็มีเพลงฮิททยอยตามมา อย่าง "It's Gonna Work Out Fine", "I Idolize You", "Poor Fool", "Tra La La La La", "I Want to Take You Higher" ต้นทศวรรษ 1970 ทั้งคู่เปลี่ยนกลิ่นสีดนตรีริธึ่มแอนด์บลูส์มาสู่ร็อคมากขึ้นด้วยอัลบั้ม 2 ชุด - The Come Together และ Workin' Together ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น โดยเฉพาะการนำเพลง "Proud Mary" ของ ครีเดนซ์ เคลียร์วอเทอร์ มาบันทึกเสียงใหม่ กลายเป็นซิงเกิลขายดีที่สุดในนาม ไอค์ แอนด์ ทิน่า เทอร์เนอร์ หลังจากเพลง "Nutbush City Limits" ได้รับความนิยมในปี 1973 ซึ่งเป็นเพลงฮิทเพลงเดียวในอาชีพที่ ทิน่า แต่งเอง สถานการณ์ทั้งเรื่องงานและครอบครัวก็ย่ำแย่ลง ไอค์ ติดโคเคนอย่างหนัก และมักทำร้ายร่างกายเธอ (ภายหลังมีข้อมูลบอกว่าเขาเป็นไบโพล่าร์ด้วย) จนในที่สุดก็ต้องหย่าร้างกันเป็นทางการในปี 1978 ทิน่า เลี้ยงดูลูกๆด้วยตัวเอง เธอต้องรับงานแสดงทุกแห่ง ไม่ว่าที่เล็กหรือที่ใหญ่ รวมถึงรายได้จากการออกรายการโทรทัศน์ต่างๆ จนกระทั่งปี 1983 เธอได้เซ็นสัญญาใหม่กับ แคปิตอล เรคอร์ดส์ และออกซิงเกิ้ล "Let's Stay Together" เพลงของ อัล กรีน ที่นำมาบันทึกเสียงใหม่ ปรากฏว่าเพลงฮิทไปทั่วโลก ก่อนจะตามด้วยอัลบั้ม Private Dancer ในปี 1984 อัลบั้มที่ใช้เวลาบันทึกเสียงกัน 2 เดือนในอังกฤษชุดนี้ กลายเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของ ทิน่า เทอร์เนอร์ เช่นเดียวกับเพลงฮิทจากอัลบั้ม "What's Love Got to Do with It", "Better Be Good to Me" และ "Private Dancer" เงินทองและรางวัลเกียรติยศหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย นับจากนั้นสถานภาพยอดศิลปินของ ทิน่า มั่นคง ไม่มีเสื่อมถอยลง แต่เธอก็ออกอัลบั้ม Twenty Four Seven ในปี 1999 เป็นอัลบั้มจากสตูดิโอชุดสุดท้าย และยังไม่มีผลงานหลังจากนั้น เว้นแต่การออกแสดงคอนเสิร์ตจนมาสิ้นสุดที่ Tina!: 50th Anniversary Tour ในปี 2008-2009 ช่วงหลังๆ ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ทิน่า จึงมีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยจากโรคสองสามอย่าง แต่ก็ผ่านมาได้ โดยเฉพาะการผ่าตัดเปลี่ยนไตในปี 2017 แม้ไม่ได้ออกอัลบั้มและทัวร์อีกแล้ว (อย่างน้อยก็ในตอนนี้) ทิน่า ยังทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับละคร Tina ที่ทำจากชีวิตของเธอ ซึ่งนำออกแสดงทั้งในอังกฤษและอเมริกา ออกหนังสือบันทึกความทรงจำเล่มที่ 2 - Tina Turner: My Love Story เมื่อปลายปีที่แล้ว ห่างจาก I, Tina: My Life Story ถึง 32 ปี ทิน่า เทอร์เนอร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นพลเมืองของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้นแบบที่ทรงอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นต่อมานับไม่ถ้วน แต่ไม่มีใครเหมือนเธอ... ไม่แม้แต่จะใกล้เคียง