ถือเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติเราอีกประการหนึ่ง สำหรับ “ภัยก่อการร้าย” ซึ่งอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นส่วนรวม ที่ประชาคมโลกพึงต้องตระหนัก ตื่นตัว แต่ไม่ตื่นตูม พร้อมกับร่วมกันจับตาเฝ้าระวัง ในฐานะภัยร้ายที่คุกคามต่อภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงย่าน “อุษาคเนย์” หรือ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เรา ที่ต้องบอกว่า เสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายการถล่มโจมตีจากขบวนการก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเครือข่ายและที่ยังอยู่ในระดับสวามิภักดิ์ต่อขบวนการก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรงอัล-กออิดะฮ์ ที่เคยโด่งดังแต่เก่าก่อน และกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส หรือที่บางคนเรียกว่า ไอซิส อันเป็นขบวนการก่อการร้ายตัวอันตรายที่สุดในปัจจุบัน อาทิ กลุ่มมาเจลิสมูจาฮีดีนอินโดนีเซีย หรือเอ็มเอ็มไอ ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มอัล- กออิดะฮ์ กลุ่มจามาอะฮ์อันชารุตเตาฮีด หรือเจเอที ที่มีผู้นำคนดังอย่างนายอาบู บาการ์ บาเชียร์ อันเชื่อมโยงกับกลุ่มอัล – กออิดะฮ์ และกลุ่มจามาอะฮ์อันชารุดดาอุเลาะฮ์ หรือเจเอดี ซึ่งก่อการร้ายกลุ่มนี้ให้ความสวามิภักดิ์ต่อขบวนการกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส ที่กำลังหมายมั่นปั้นมือว่า จะขยายเครือข่ายพลพรรคเข้ามาในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์เรา แบบมุ่งหมายจะให้เป็น รัฐเคาะลีฟะฮ์ หรือรัฐอิสลาม ของไอเอสอีกแห่งกันเลยทีเดียว นอกจากการเป็นเครือข่าย หรือสวามิภักดิ์กันแล้ว ในด้านรูปแบบวิธีการปฏิบัติโจมตี หรือการก่อวินาศกรรม บรรดากลุ่มก่อการร้ายต่างๆ เหล่านี้ ก็ได้มีการพัฒนารูปแบบวิธีการออกไปด้วย อาทิเช่น เริ่มจากการลอบวางระเบิดพื้นที่เป้าหมายอ่อนแอ เช่น ชุมชน ศาสนสถานต่างศาสนิก เป็นต้น หรือแม้กระทั่งพื้นที่ทางการทหาร การซุ่มยิงโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ กระทั่งพัฒนาความใจถึงใจกล้ามาเป็นการใช้ยุทธวิธีระเบิดฆ่าตัวตาย ล่าสุด ก่อการร้ายบางกลุ่มในอินโดนีเซีย ได้ยกระดับขยับความโหดเหี้ยมเกรียมในปฏิบัติการวินาศกรรมเพิ่มขึ้นไปอีก ด้วยการใช้อาวุธชีวภาพมาทำลายล้างชีวิตผู้คนกันแล้ว อย่างไรก็ดี ก่อนปฏิบัติการจะมีขึ้น ปรากฏว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของอินโดนีเซีย สามารถทะลายแผนการก่อการร้ายด้วยอาวุธชีวภาพได้เสียก่อน ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ บนเกาะชวาตะวันตก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของอินโดนีเซีย ได้บุกทะลายเข้าจับกุมสมาชิกเครือข่ายของเจเอดี หรือกลุ่มจามาอะฮ์อันชารุดดาอุเลาะฮ์ ซึ่งตามประวัติระบุว่า เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย ที่ประกาศว่าสวามิภักดิ์ต่อกลุ่มไอเอส ได้วางแผนที่จะโจมตีศาสนสถานในเมืองซิเรบอน จ.ชวาตะวันตก เมื่อช่วงกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ก่อนดำเนินการสอบสวน แล้วก็ทำให้ได้รับรู้ความจริงอันน่าสุดสะพรึงว่า สมุนของเจเอดี มีแผนการที่จะโจมตีศาสนสถานของศาสนาพื้นเมืองของชาวซิเรบอน ซึ่งในช่วงนั้นจะมีชาวเมืองซิเรบอน มาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งยุทธวิธีที่กลุ่มเจเอดีจะใช้ปฏิบัติโจมตี ก็เป็นในรูปแบบ “ระเบิดฆ่าตัวตาย” แต่ “ระเบิด” ที่จะใช้เป็นอาวุธทำลายล้าง ก็เป็นแบบ “ชีวภาพ” ที่มีพิษร้ายสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้เป็นจำนวนมากอีกด้วย ทั้งนี้ วัสดุที่จะมาประยุกต์ใช้เป็นอาวุธชีวภาพมหาประลัยนั้น ทางกลุ่มเจเอดี ก็ใช้ “สารพิษที่สกัดจากพืช” โดยใช้ “มะกล่ำตาหนู” ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งมีชื่อเรียกหลายชื่อว่า มะกล่ำเครือบ้าง ก่ำเครือบ้าง เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอาวุธชีวภาพพิษนี้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของอินโดนีเซีย สามารถตรวจยึดมะกล่ำตาหนูได้ถึง 310 กรัม ในพื้นที่กบดานของพวกสมุนเจเอดี พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของอินโดนีเซีย ระบุว่า ความร้ายกาจของมะกล่ำตาหนูข้างต้น ขนาดปริมาณเพียง 0.7 ไมโครกรัมเท่านั้น ก็สามารถใช้สังหารผู้คนได้ถึง 100 คนแล้ว โดยหากปริมาณที่มากมายตามที่จับกุมยึดเป็นของกลางได้ใช้เป็นอาวุธชีวภาพก่อเหตุ จะคร่าชีวิตผู้คนได้จำนวนมหาศาล และจากการตรวจสอบอาวุธของกลางดังกล่าว ก็ต้องบอกว่า ทางกลุ่มก่อการร้ายได้ประกอบเป็นระเบิดไว้แล้วส่วนหนึ่งก็มี ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของอินโดนีเซียเลยก็ว่าได้ ที่ตรวจพบอาวุธชีวภาพของกลุ่มก่อการร้าย แต่โชคดีที่ทางเจ้าหน้าที่ฯ สามารถทะลายแผนการได้เสียก่อน และก็สามารถกล่าวได้แล้วว่า เป็น “การก่อการร้ายทางชีวภาพ” บนแผ่นดินแดนอิเหนา ประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ในการสืบสวน สอบสวน ก็ยังได้พบว่า กลุ่มก่อการร้ายยังมีแผนการที่ใช้สิ่งที่เป็นพิษอื่นๆ ตลอดจนเชื้อโรคเป็นอาวุธทำลายล้างด้วย ไม่ว่าจะเป็นไวรัส และแบคทีเรีย ซึ่งนอกจากจะโจมตีผู้คนแล้ว ก็ยังมีแผนทำลายล้างทางเศรษฐกิจ ด้วยการโจมตีปศุสัตว์ และพืชไร่ทางการเกษตรให้ย่อยยับไปด้วยเช่นกัน