สำหรับ หนองคาย เป็นเมืองชายแดนที่เงียบสงบติดริมแม่น้ำโขง เส้นเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แต่หลายๆ คน คงไม่รู้ว่าเมืองแห่งนี้มีมูลนิธิที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเด็กด้อยโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้มีอาชีพ สร้างรายได้ให้กับตัวเอง และชุมชนให้เกิดความยั่งยืน ด้วยการทำงานในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย แอบซุกซ่อนอยู่ จุดเริ่มต้นศูนย์ฝึกพิมาลี บินลัดฟ้าสู่จังหวัดอุดรธานีก่อนจะเดินทางต่อด้วยรถตู้ผ่านเส้นทางคดเคี้ยวสองข้างทางที่ยังเป็นป่าธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงก็ถึง ตัวเมืองหนองคาย ที่มีสถานที่น่าสนใจมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพการโรงแรมพิมาลี ที่บ้านโคกก่อง ตำบลพระธาตุบังพวน อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ศูนย์ฝึกที่ก่อกำเนิดมาจากความตั้งใจอันแรงกล้าของนางสเตฟานี เด ซาท์ ลู และสามี นายอเล็กซองเดรอะ เด ซาท์ ที่ต้องการสร้างโอกาสให้เยาวชนด้อยโอกาสและเด็กกำพร้าในประเทศไทยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ศูนย์ฝึกพิมา โดย นางสเตฟานี กล่าวว่า ตอนที่อาศัยอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งไทย-สวิตเซอร์แลนด์ จึงอยากเดินทางมาประเทศไทย อีกทั้งมีความสนใจในการออกค่ายช่วยเด็กด้อยโอกาสที่ประเทศไทย หลังจากนั้นไม่นานมีโอกาสเดินทางมา จังหวัดหนองคาย และรู้สึกประทับใจถึงเมืองอันเงียบสงบแห่งนี้ จึงตั้งใจจัดตั้งมูลนิธิเพื่อเด็กด้อยโอกาส ขึ้น พร้อมกับได้ชวนนายอเล็กซองเดรอะ ผู้เป็นสามีร่วมกันจัดตั้งมูลนิธิพิมาลีขึ้น ภายหลังจากจดทะเบียนอย่างเป็นทางการที่จังหวัดหนองคาย เมื่อเดือนตุลาคม2557 ในวันที่ 5 เดือนกุมภาพันธ์ 2559 จึงได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพการโรงแรมพิมาลีขึ้น เพื่อมอบโอกาสทางการศึกษา และพัฒนาทักษะอาชีพให้กับเยาวชนไทยผู้ขาดแคลนโอกาส อีกทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสในการประกอบวิชาชีพให้ทุกคนสามารถหารายได้ และมีความมั่นคงทางด้านการเงินในการดำเนินชีวิต ซึ่งศูนย์ฝึกพิมาลีแห่งนี้จะรับเด็กด้อยโอกาสตั้งแต่อายุ 17-24 ปี ที่มีความสนใจในวิชาชีพด้านการให้บริการ การต้อนรับ การโรงแรม โดยมีการเรียนการสอน 12-17 เดือน ก่อนจะให้ไปฝึกงานกับโรงแรมในเครือออนิกซ์ที่จับมือเป็นพันธมิตรกับพิมาลีอีก 6 เดือน บังกะโลกลางทุ่งนา ซึ่ง นางสเตฟานี่ กล่าวถึงสาเหตุที่เลือกเปิดศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพการโรงแรม ว่า เกิดจากความเชี่ยวชาญด้านงานโรงแรมของตัวเองเป็นทุนเดิม เมื่อครั้งอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลากว่า 7 ปี อีกทั้งในปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยกำลังเติบโตและขยายตัวดี นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงน่าจะทำให้เด็กๆ ที่จบการศึกษาด้านนี้สามารถหางานทำได้ง่าย แวะเยี่ยมชมศูนย์ฝึกพิมาลี เมื่อมาถึง ศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพการโรงแรมพิมาลี สิ่งแรกที่พลาดไม่ได้ คือ การเดินชมบรรยากาศ และสถานที่ต่างๆ ภายในศูนย์ฝึกบนพื้นที่กว่า 16 ไร่ โดยมี นางสเตฟานี ช่วยเล่าข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์ฝึกตลอดทาง ซึ่งประกอบไปด้วยอาคาร 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ศูนย์อำนวยการบริหารและฝึกอบรม ที่มีทั้งห้องเรียน ห้องสมุด รวมถึงห้องเก็บของส่วนตัว ห้องอาหารและห้องครัว และ ที่พักบังกะโลสำหรับแขกภายนอกที่ต้องการเข้าพักที่อยู่ส่วนในสุดของศูนย์ฝึกแห่งนี้ ผู้ก่อตั้งศูนย์ฝึกพิมาลี ทั้งนี้ นางสเตฟานี ได้เล่าว่า อาคารทั้ง 3 ส่วนนี้ เป็นที่ให้นักเรียนของพิมาลีได้ฝึกปฏิบัติจริง เพราะเป็นส่วนที่เปิดให้ลูกค้ามาเข้าพักและรับประทานอาหาร เด็กนักเรียนจะได้ทำอาหาร ต้อนรับบริการ และดูแลในส่วนของบังกะโล แบบปฏิบัติงานจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเด็กๆ ได้เห็นภาพ สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์จริง จนมีทักษะ และเกิดความชำนาญมากขึ้น แปลงผักปลอดสารพิษ หลังจากที่ได้ชมส่วนของอาคารต่างๆ แล้ว ยังมีเวลาเหลือพอที่จะเดินสำรวจรอบๆ ศูนย์ฝึก และจากที่สังเกตรอบๆ ตัวอาคาร จะมีแปลงพืชผักสวนครัวที่ทางมูลนิธิปลูกเอง เป็นแปลงผักปลอดสารพิษ ดูสด และน่าทาน นอกจากนี้ในพื้นที่ว่างด้านหลังตัวอาคารยังมีที่ดินไว้สำหรับปลูกข้าว ทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว แต่ในช่วงที่ไปข้าวโดนเก็บเกี่ยวหมดแล้ว จึงเห็นแต่เพียงซังข้าวสีเหลืองๆ ซึ่งถ้าหากไปในช่วงก่อนเก็บเกี่ยวภาพทุ่งนาสีเขียวกับบังกะโลกลางท้องทุ่งคงจะเป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างมาก เป็นศูนย์ฝึกสร้างโอกาส สำหรับ ศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพการโรงแรมพิมาลี แม้จะเป็นเพียงศูนย์ฝึกอาชีพที่มีขนาดเล็ก ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไป แต่ทว่ากลับเป็นแหล่งสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้กับเด็กหลายๆ คน หลังจากเดินเยี่ยมชมศูนย์ฝึกโดยรอบเสร็จแล้ว มีโอกาสพูดคุยกับ นายขวัญ จันทร์วงศ์ทา นักเรียนรุ่นแรกของศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพการโรงแรมพิมาลี ที่ปัจจุบันได้ทำงานอยู่ที่กระบี่รีสอร์ท จังหวัดกระบี่ ได้เล่าว่า ศูนย์ฝึกพิมาลีทำให้มีความหวัง เพราะมีการสอนทักษะวิชาชีพและความรู้ด้านการโรงแรม นอกจากนี้ยังได้ความอดทน ความซื่อสัตย์ ความตรงต่อเวลา รักความเป็นระเบียบ ได้รู้จักคิด รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และพื้นฐานด้านงานครัว สามารถไปต่อยอดในวิชาชีพอื่นๆ ได้ ซึ่งทำให้ชีวิตแตกต่างจากในอดีตที่ใช้ชีวิตแบบไม่มีจุดหมาย ไม่รู้อนาคต เพราะเมื่อได้สัมผัสกับงานที่ทำได้จริง และนำไปใช้ได้กับชีวิตจริง จึงทำให้ชีวิตดีขึ้น เด็กๆ เรียนรู้ทักษะวิชาชีพ ในปัจจุบัน ศูนย์ฝึกพิมาลี มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่พัฒนามาจากหลักสูตรของสมาคมอี เอช แอล สไมล์ ของโรงเรียนการโรงแรมโลซานน์ แห่งสวิตเซอร์แลนด์ ที่ได้เน้นหลักการเรียนรู้จากการปฏิบัติผ่านหลักสูตรที่ครอบคลุมวิชาที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมการบริการ ประกอบด้วยวิชาทำครัวและการบริการ ตลอดจนวิชาการจัดการส่วนห้องพัก รวมถึงความรู้ทั่วไปที่เป็นประโยชน์ อย่างภาษาอังกฤษ และ ทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อีกทั้งในอนาคตจะมีการเพิ่มหลักสูตรบาริสต้าและการนวดแผนไทย และขยายศูนย์ฝึกให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น เช่น หอพักสำหรับเด็กนักเรียน ส่วนที่ทำขนมส่งขาย ร้านอาหารอิตาเลี่ยน รวมทั้งเพิ่มบังกะโล ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้เด็กได้รับความสะดวกในการเรียนและได้ฝึกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งทางที่ทำให้มีเงินรายได้กลับเข้ามายังมูลนิธิด้วย เที่ยวชมเมืองหนองคาย เช้าวันใหม่ท่ามกลางอากาศเย็นสบายและบรรยากาศที่เงียบสงบตามสไตล์เมืองหนองคาย หลังทานอาหารเช้าเสร็จได้มุ่งหน้าสู่ ทะเลบัวแดงของจังหวัดหนองคาย บัวแดงไกลสุดลูกหูลูกตาผลิบานเต็มท้องน้ำ ชูช่ออวดความงดงามแข่งกัน สีชมพูแดงของดอกบัวตัดกับสีครามของท้องฟ้า มองแล้วรู้สึกสดชื่นเพลินตา บริเวณโดยรอบมีผู้คนบางตา ได้ยินเสียงธรรมชาติถนัดหู มีเสียงลมพัดผ่านใบไม้แผ่วเบา แต่พอที่จะทำให้กิ่งไหวเอน เสียงร้องของควายที่กินหญ้าอยู่โดยรอบ เมื่อร่างกายปะทะกับความเย็นของอากาศในยามเช้า ยิ่งทำให้สดชื่นและผ่อนคลาย จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าพลาดถ้าใครมาถึงหนองคายแห่งนี้ สนนราคาเรือให้เช่าคิดค่าบริการ เพียง100 บาท หากนั่งคนเดียว แต่ถ้าไปกันหลายๆ คนคิด 50 บาทต่อคน ทะเลบัวแดง หลังจากที่ชมความงามของ ทะเลบัวแดงเสร็จเรียบร้อย ได้เดินทางกลับ มูลนิธิพิมาลีอีกครั้ง เพราะในวันนี้มีงานทำบุญครบรอบเปิดศูนย์ฝึก 1 ปี โดยภายในงานนอกจากมีงานทำบุญแล้ว ยังมีการแสดงจากเด็กนักเรียนโรงเรียนใกล้เคียงมาให้ชม อีกทั้ง ยังมีโอกาสได้ทานอาหารที่ถูกปรุงขึ้นจากนักเรียนของศูนย์ฝึกพิมาลีอีกด้วย ซึ่งรสชาติที่ได้ลิ้มลองบอกได้คำเดียวว่า อร่อยมากจริงๆ สำหรับจุดไฮไลท์ของเมืองหนองคาย ถ้าใครมาถึงเมืองนี้แล้วไม่ได้แวะ ตลาดท่าเสด็จ เหมือนจะมาไม่ถึง ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่ ศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพการโรงแรมพิมาลี แล้ว ตลาดท่าเสด็จ ในเขตเทศบาลเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ติดกับแม่น้ำโขง แม่น้ำกั้นเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จึงเป็นจุดหมายต่อไป ซึ่งที่นี่จะเป็นแหล่งขายของขนาดใหญ่ มีการจำหน่ายสินค้าหลากหลาย ทั้ง ของกิน ของใช้ ไปจนถึง ของเด็กเล่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องไฟฟ้า ของแต่งบ้าน เรียกได้ว่าเป็นตลาดที่ครบเครื่อง เพราะมาที่เดียวได้ครอบหมดทุกอย่างนั้นเอง ตลาดท่าเสด็จ สำหรับบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จุดเชื่อมต่อ 2 ประเทศเข้าหากัน ยังมีป้ายสุดเขตแดนที่เมืองหนอยคายขนาดใหญ่เขียนตัวอักษรสวยงามว่า ท่าเสด็จ สุดเขตแดนที่เมืองหนองคาย พร้อมพญานาคคู่ขนาบสองข้าง ชวนให้อยากถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเก็บไว้ว่าครั้งนึงได้มาถึงแล้ว และหากหันหลังกลับมา ตรงข้ามกับป้ายมีมุมถ่ายรูปที่ถูกจัดแบบสไตล์โบราญย้อนยุคสำหรับให้นักท่องเที่ยวที่ชอบถ่ายรูปมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำ มุมมหาชนตลาดท่าเสด็จ ใช้เวลาช่วงบ่ายคล้อยรถเรียบริมฝั่งแม่น้ำโขงประมาณ 3 กิโลเมตรจากป้ายพญานาคคู่ แวะชมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ เป็นระยะ เช่น พระธาตุกลางน้ำ หรือ พระธาตุหล้าหนอง พระธาตุเก่าแก่ที่เป็นที่เคารพสักการะของชาวเมืองหนองคายตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต จนถึงปัจจุบัน ไฮไลท์ของพระธาตุแห่งนี้ อยู่ที่ องค์พระธาตุจมอยู่กลางแม่น้ำโขงห่างจากฝั่งไทยประมาณ 180 เมตร เหลือไว้เพียงฐานให้ผู้ที่สัญจรไปมาได้เห็น แต่เดิมพระธาตุหล้าหนอง ตั้งอยู่บนบกเหมือนพระธาตุโดยทั่วไป แต่จากการกัดเซาะตลิ่งของน้ำโขง ที่กัดลึกไปถึงองค์พระธาตุหล้าหนอง จึงเป็นเหตุทำให้องค์พระธาตุพังลงมา และกลายเป็นพระธาตุที่อยู่กลางน้ำเหมือนในปัจจุบัน พระธาตุหล้าหนองจำลอง และด้วยความที่เป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคายอย่างมาก ทางจังหวัดและสำนักโยธาธิการและผังเมืองจึงได้ก่อสร้างพระธาตุหล้าหนององค์จำลองขึ้นแล้วบรรจุชิ้นส่วนพระธาตุองค์จริงไว้ข้างใน ห่างจากองค์เดิมที่อยู่กลางน้ำเพียงไม่กี่เมตร เพื่อให้คนที่ผ่านไปมาสามารถแวะมาสักการะได้ แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ก่อนจบทริปมีโอกาสทัวร์เมืองหนองคาย โดยมีจุดหมายสุดท้ายอยู่ที่ ศาลาแก้วกู่ อุทยานเทวาลัยที่มีชื่อเสียงของจังหวัดหนองคาย ในชุมชนสามัคคี อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย โดยภายในจะมีเหล่ารูปปั้นต่างๆ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างกลมกลืนบนพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 42 ไร่ โดยมีผู้คนมากมายแวะมาเยี่ยมชมความวิจิตรตระการตาตามเส้นทางที่ทอดยาว อาจจะด้วยสถานที่แห่งนี้ได้รับความนิยมหลังจากละครเรื่อง นาคี ออกฉาย เนื่องจากมีรูปปั้นครึ่งคนครึ่งพญานาคที่มีคนพูดเล่นๆ กันว่าเป็นเจ้าแม่นาคี จึงทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมที่นี้กันมากมาย อย่างไรก็ตามสถานที่แห่งนี้ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองหนองคาย เนื่องจากบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งความยิ่งใหญ่อลังการของรูปปั้นทรงสูงตระหง่านใหญ่โตที่สร้างมาจากความศรัทธาและความเชื่อของ ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์ หรือ ปู่เหลือ ที่นำทุกศาสนาผสมผสานกัน จึงทำให้ ศาลาแก้วกู่ เสมือนเป็นเป็นสถานที่แทนภาพดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ทั้งนี้ผู้ที่สนใจจะเข้าชมเพียงเสียค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่เพียง 20 บาทและเด็ก 10 บาทเท่านั้น ศาลาแก้วกู่ ทั้งนี้ รูปปั้นในอุทยานเทวาลัยแห่งนี้ มีเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ ตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน อีกทั้งยังมีเรื่องราวตามตำนานความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และคริสต์ นอกจากนี้ ยังมีประติมากรรมบางส่วนที่จำลองเอาเหตุการณ์จากวรรณคดีสุภาษิตโบราณ หรือนิทานพื้นบ้านนำมาจัดแสดงไว้ด้วย ซึ่งเมื่อมองไปที่ฐานของรูปปั้นแต่ละองค์ก็ได้เห็นคำอธิบายบอกเล่าถึงเรื่องราวซึ่งเกี่ยวข้องกับชิ้นงานนั้นๆ สลักเอาไว้ อย่างไรก็ตามแม้ จังหวัดหนองคาย จะไม่ใช่เมืองหลักของธุรกิจการท่องเที่ยวเทียบเท่ากับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ในประเทศไทย แต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์และวัฒนธรรมอันงดงาม รวมถึงสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ที่รอให้ทุกคนเดินทางไปสัมผัส สำหรับผู้ที่ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลท่องเที่ยว ติดต่อได้ที่โทร 0-2622-1810-18 ต่อ 353,354 และ www.facebook.com/siamrath.travel โต๊ะท่องเที่ยว เรื่อง/ภาพ [email protected]