วันนี้ 22 พ.ย. 2562 เวลา 10.00 น ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานประชุม มอบนโยบายและมาตรการในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคโดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตตรวจราชการที่. 1, 7, 13, 16 รวม 17 จังหวัด เข้าร่วมประชุม อาทิ จว. ยะลา ปัตตานี นราธิวาส อยุธยา ลพบุรี อ่างทอง ชัยนาท สระบุรี สิงห์บุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ เชียงราย พร้อมผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่สอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” รวมถึงการปฎิบัติตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ตามที่รองนายกรัฐมนตรี มอบหมาย อาทิเช่น การแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชน การกระจายรายได้ การสร้างอาชีพให้แก่ประชาชน การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต. รวมถึงการแก้ไขปัญหาสำคัญในแต่ละพื้นที่. อาทิ การเตรียมการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะภัยแล้ง และอุทกภัย ราคาสินค้าเกษตร การดูแลเรื่องความปลอดภัย และความสะดวกในการเดินทางสัญจรของพี่น้องประชาชน การแก้ไขปัญหาแรงงาน การจัดการขยะ น้ำเสีย การใช้พื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน ปัญหาหมอกควัน และปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น โดยรองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้แต่ละจังหวัดไปเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน พลเอกประวิตร กล่าวย้ำในที่ประชุมให้ดำเนินการ เร่งรัดติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุทธศาสตร์ชาติ และยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยเร็ว และให้จังหวัดช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยให้พิจารณาโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม มีความยั่งยืน อีกทั้งขอให้พิจารณาโครงการที่มีความสอดคล้องกับหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามบริบทของพื้นที่เพื่อเป็นการพัฒนา ต่อยอดโครงการ สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน เช่น การจัดงานถนนคนเดินในแต่ละจังหวัด เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชน การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนหรือป่าชายเลน การสร้างฝายกักเก็บน้ำ เป็นต้น รวมทั้งให้รักษาวินัย การเงิน การคลัง อย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่รัฐ หรือประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ เพื่อจะทำให้การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคบังเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ และนโยบายของรัฐบาลเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป