คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย การไต่สวนพยานในกรณีถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์โดยคณะกรรมาธิการข่าวกรองได้เผยแพร่ออกสู่สายตาสาธารณชนเข้าสู่สัปดาห์ที่สองแล้ว ทั้งนี้พรรคเดโมแครตเร่งปฏิบัติการเพื่อต้องการถอดถอนเร็วที่สุด แต่พรรครีพับลิกันกลับต้องการปกป้องประธานาธิบดีทรัมป์เอาไว้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามประเด็นหลักๆอยู่ที่ว่าหลังจากการไต่สวนเสร็จสิ้นลงในสัปดาห์นี้จะมีอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ในกอไผ่ (smoking gun) เล็ดลอดออกมาให้เห็นบ้าง? อนึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้นักการทูตมืออาชีพ 3 ท่านได้เดินทางไปให้ปากคำ โดยมีการถ่ายถอดสดออกสู่สาธารณะ และในสัปดาห์นี้ก็จะมีพยานเข้าไปให้ปากคำรับการไต่สวนอีกแปดคนด้วยกัน เมื่อวันพุธที่แล้วนักการทูตที่เข้าไปเป็นพยานท่านแรกก็คือ “วิลเลียม เทเลอร์” นักการทูตวัย 72 ปี อดีตนักศึกษามันสมองระดับหัวกะทิของรุ่น ณ เวสต์ปอยต์ และฮาร์วาร์ด เคยผ่านในสนามรบสงครามเวียดนาม เป็นนักการทูตมืออาชีพมากว่าห้าสิบปี และแม้ว่าเขาจะเกษียณอายุราชการไปแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากเขามีประวัติการทำงานดีเยี่ยม “รัฐมนตรีต่างประเทศไมค์ ปอมพิโอ”จึงได้เรียกตัวส่งให้เขาไปรับตำแหน่งรักษาการเอกอัครราชทูตในยูเครน ที่เขาเคยประจำตำแหน่งมาแล้วระหว่างปี 2006-2009 จากซ้าย เทเลอร์   ,    โยวาโนวิช   ,    เคนท์    ,   วินด์แมน ส่วนนักการทูตท่านที่สองได้แก่ “จอร์จ เคนท์” วัย 43 ปี จบการศึกษาจากฮาร์วาร์ด และจบในระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ โดยขณะนี้รับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งทำงานอยู่ในกระทรวงต่างประเทศมานานถึง 27 ปี ท่านทูตผู้นี้มีความสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้หลากหลายภาษา เช่น ภาษายูเครน รัสเซีย เยอรมัน อิตาเลียน ภาษาไทย และยังเคยเข้ามาประจำการอยู่ในสถานทูตแห่งประเทศไทยอีกด้วย นักการทูตหนุ่มผู้นี้มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ในการช่วยเหลือประเทศต่างๆ และในด้านการปราบปรามคอร์รัปชัน อีกทั้งสมาชิกในครอบครัวก็ยังมีสายเลือดที่มุ่งรับใช้สหรัฐอเมริกามาแล้วหลายชั่วอายุคน!!! ทั้งนี้ยังปรากฏอีกด้วยว่า นักการทูตมืออาชีพทั้งสองท่านได้ให้การอย่างเข้มข้นและไปในทิศทางเดียวกันว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อำนาจในทางที่ผิด” (Abuse of Power) โดยทั้งสองต่างอ้างว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เรียกร้องแกมบังคับให้ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ เซเลนสกีทำการตรวจสอบอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดนในยูเครน เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองโดยประธานาธิบดีทรัมป์คิดว่าโจ ไบเดน อาจจะได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเข้าไปแข่งขันกับตนในปี 2020 และต้องการจะใช้ข้อมูลนั้นใส่ร้ายป้ายสีทำนองเดียวกันกับที่เขาเคยใช้เล่นงาน “ฮิลลารี คลินตัน”มาแล้วเมื่อปี 2016 เพื่อเอื้ออำนวยให้เขาได้รับเลือกอีกสมัยหนึ่ง ในการสนทนาของผู้นำทั้งสองเข้าทำนอง “ประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ว่า หากประธานาธิบดีของยูเครนไม่ยอมปฏิบัติตาม เขาก็จะกักเงิน 391 ล้านเหรียญเอาไว้ไม่ส่งให้ยูเครน ถึงแม้ว่าสภาคองเกรสจะอนุมัติเรียบร้อยแล้วก็ตาม อนึ่งจากการสนทนาครั้งนั้นค่ายพรรคเดโมแครตได้ออกมาโจมตีประธานาธิบดีทรัมป์ว่า “ใช้เล่ห์เหลี่ยมยื่นหมูยื่นแมวเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัว”เข้าข่ายที่เรียกกันว่า “Quid Pro Quo” ส่วนนักการทูตมืออาชีพท่านที่สามเป็นสุภาพสตรีชื่อ “แมรี โยวาโนวิช” จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และยึดอาชีพนักการทูตมาแล้วกว่า 33 ปี โดยได้ออกไปประจำการยังประเทศต่างๆถึง 17 แห่ง และล่าสุดได้เข้าไปรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำที่ประเทศยูเครน ทั้งนี้เพื่อนๆของนักการทูตท่านนี้ต่างขนานนามเธอว่า “หญิงเหล็ก” เพราะเธอมีความกล้าหาญพร้อมที่จะออกปฏิบัติการในสนามรบ และยังได้รับความชื่นชมว่าเป็นนักการทูตที่ยอดเยี่ยมจากรัฐมนตรีต่างประเทศไมค์ ปอมพิโอ โดยเขาได้สั่งการให้เธอดำรงอยู่ในตำแหน่งเอกอัครราชทูตต่อไปจนถึงปี 2020 ทั้งนี้เธอยังมีอุดมการณ์แน่วแน่ทางด้านการปราบปรามคอร์รัปชันอีกด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากเธอมุ่งรักษาผลประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและผลประโยชน์ของประเทศยูเครนที่เธอเข้าไปประจำการเป็นหลัก เธอจึงมีแนวคิดที่สวนทางกับประธานาธิบดีทรัมป์ และนั่นจึงเป็นที่มาทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ออกปากสั่ง “รูดี เกียเลียนี” ทนายความส่วนตัวดำเนินการอยู่เบื้องหลัง จนในที่สุดเธอต้องถูกย้ายกลับเข้าประจำในกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ และการที่ท่านทูตหญิงเหล็กท่านนี้เดินทางไปให้การเมื่อวันศุกร์ที่แล้วเธอได้ออกมาเผยว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์มิได้ใส่ใจต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯและยูเครน แต่มุ่งกระทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง” และขณะที่เธอกำลังให้ปากคำอยู่นั้นปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังโพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์โจมตีเธออีกด้วย โดย “อดัม ชิฟฟ์”ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองได้ออกมากล่าว ณ เวลานั้นว่า การข่มขู่ต่อทูตสตรีหญิงเหล็กท่านนี้ ถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างมาก ทั้งนี้หมายถึงพรรคเดโมแครตอาจจะต้องเพิ่มข้อหาประธานาธิบดีทรัมป์อีกข้อหนึ่งด้วยก็เป็นได้ สำหรับสัปดาห์นี้การไต่สวนมีพยานทั้งหมด 8 ราย โดยขอเน้นไปที่คำให้การเมื่อวันอังคารที่เพิ่งผ่านมานี้ของ “พันโทอเล็กซานเดอร์ วินด์แมน” และ “เจนนิเฟอร์ วิลเลียม” ซึ่งพยานทั้งสองท่านนี้ได้ร่วมนั่งฟังการสนทนาที่มีขึ้นระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีของยูเครน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมด้วย สำหรับ พันโทวินด์แมน นับว่ามีประวัติที่ไม่ธรรมดา โดยครอบครัวของเขาได้อพยพลี้ภัยออกมาจากรัสเซีย หนีเข้ามาสู่สหรัฐฯ เมื่อเขาอายุได้สามขวบพร้อมกับน้องชายฝาแฝดและทั้งคู่ได้รับการศึกษาอย่างดี ขณะที่เข้ารับราชการทหารเข้าไปสู้รบในสงครามอิรัก เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสู้รบ ต่อมาได้รับรางวัลจากการรับใช้ประเทศชาติอย่างมากมาย และเขายังเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศยูเครน โดยขณะนี้เขารับตำแหน่งสมาชิกสภาความมั่นคงอยู่ในทำเนียบขาว ส่วนน้องชายฝาแฝดของเขาก็ทำงานอยู่ในที่แห่งเดียวกัน แต่ทำทางด้านกฎหมาย ทั้งนี้พันโทวินด์แมนรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณต่อสหรัฐฯอย่างมากโดยเขาแสดงเจตนารมณ์ต้องการที่จะรับใช้สหรัฐฯอย่างสุดความสามารถ ขณะที่เขากำลังถูกไต่สวนอยู่นั้นเขาชี้ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์กระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยพยายามเรียกร้องให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงสหรัฐฯ ซึ่งไม่เป็นการเหมาะสม” อีกทั้งเขายังได้เอ่ยปากกล่าวเตือนประธานาธิบดียูเครน ขณะเดินทางไปเยือนสหรัฐฯว่า “โปรดอย่าเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของสหรัฐฯ” ส่วน “เจนนิเฟอร์ วิลเลียม”ผู้ช่วยรองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์ ซึ่งร่วมนั่งฟังการสนทนาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดียูเครนอยู่ด้วยเช่นกัน ได้กล่าวว่า “การเรียกร้องของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อประธานาธิบดียูเครนนั้น ไม่เป็นการเหมาะสม” กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการไต่สวน เพื่อต้องการถอดถอดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งนั้น ถือเป็นเกมการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังผลประโยชน์เข้าหาตนทั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีที่จะมีการแข่งขันเลือกตั้งกันในปีหน้า รวมถึงการที่พวกเขาต่างมุ่งหวังที่จะได้คุมเสียงข้างมากในสภาคองเกรสอีกด้วยซึ่งคงต้องจับตาดูว่าใครจะประสบกับความสมหวังและใครจะต้องพบกับความพ่ายแพ้กันต่อไปละครับ