กรมประมง ร่วมลงนามกับ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หนุนวางระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยง เมื่อวันที่ 18 พ.ย. นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วยนายสุทัศน์ วีสกุล ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และนายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง“การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศทรัพยากรน้ำเพื่อการบริหารจัดการน้ำร่วมกับกรมประมง และการขยายเครือข่ายการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ”เพื่อสนับสนุน เชื่อมโยง รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศด้านต่างๆ สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรประมงร่วมกัน ณ มูลนิธิชัยพัฒนา นายมีศักดิ์ ภักดีคง นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า สำหรับพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ดังกล่าวนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)ที่จะได้มีความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศทรัพยากรน้ำเพื่อการบริหารจัดการน้ำร่วมกับกรมประมง และการขยายเครือข่ายการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ ซึ่งเป็นการสนับสนุนข้อมูลด้านทรัพยากรน้ำเพื่อประโยชน์ทางการประมง ให้เกิดการดำเนินงานแบบบูรณาการที่มีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันการบริหารจัดการน้ำให้กับเกษตรกรด้านการประมงนั้นนับเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากประเทศไทยมีความผันผวนของสภาพอากาศอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกษตรกรได้รับผลกระทบทั้งจากสถานการณ์ด้านภัยแล้ง และอุทกภัย ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที จนไม่สามารถบริหารจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยเร็ว ดังนั้น การได้รับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของสถานการณ์น้ำจากการร่วมลงนามในครั้งนี้ จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาด้านการบริหารจัดการน้ำให้แก่เกษตรกรได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชัง ทั้งในแหล่งน้ำปิด และแหล่งน้ำเปิด เช่น แม่น้ำ ลำคลอง รวมถึงชายฝั่งทะเล เพื่อช่วยในการวางแผน การเฝ้าระวัง และการชดเชยเยียวยาความเสียหายหากเกิดสถานการณ์ขึ้น "จากการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้กรมประมงจะนำข้อมูลจากความร่วมมือดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรโดยการพัฒนาสารสนเทศด้านการประมงเพื่อให้เกษตรกรรู้เท่าทันสถานการณ์น้ำรองรับในการประกอบอาชีพและจะได้ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ส่งผลให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้ที่มั่นคง สามารถเลี้ยงชีพได้อย่างยั่งยืนต่อไป"อธิบดีกรมประมง กล่าว