การเมืองที่กำลังปะทุ เพิ่มอุณหภูมิให้ร้อนแรง โดยไม่ต้องคาดเดา นาทีนี้คงไม่มีเรื่องไหน ฮอต ปรอทแตกไปมากกว่าวาระที่ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เพราะไม่มีใคร ที่ไม่รับรู้มาก่อนว่า เมื่อใดก็ตามที่หยิบยกวาระที่ด้วยการแก้ “รัฐธรรมนูญฉบับคสช.” เอาขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้ว “ความขัดแย้ง” จะไม่บังเกิดขึ้นนั้น เป็นไม่มี !! ศึกยกแรก แทนที่จะเป็น “มวยคู่เอก”ระหว่าง “ฝ่ายค้าน”กับ “รัฐบาล” กลับตาลปัต เมื่อ “พรรคร่วมรัฐบาล” อย่าง “ประชาธิปัตย์”หันมางัดข้อกันเองกับ “พลังประชารัฐ” เสียเอง ด้วยการลองเชิง ต่างประกาศกร้าว ขอจับจองเก้าอี้ “ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร เมื่อมติจากที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมเสนอชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”อดีตหัวหน้าพรรค ชิงเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการฯ ฝ่ายพรรคพลังประชารัฐโดย “วีระกร คำประกอบ” ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ออกมาบอกเลยว่า สิทธิ์นี้จะต้องเป็นของพลังประชารัฐเท่านั้น “ พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นแกนนำพรรครัฐบาล ซึ่งการเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ นั้นมีสิทธิ์ที่จะเสนอได้ แต่ตามหลักและมารยาท จะต้องเป็นพรรคใหญ่ที่สุดของรัฐบาล นั่งเป็นประธานกรรมาธิการฯ” (4พ.ย.2562) ล่าสุดเมื่อเห็นว่าประชาธิปัตย์ ไม่ยอม “ถอย” แน่นอน พรรคพลังประชารัฐ เตรียมแผนเอาไว้รองรับ ด้วยการเตรียมเสนอชื่อ “สุชาติ ตันเจริญ” รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ลงชนกับ อภิสิทธิ์ ด้วยยกเหตุผลที่ว่า “เพื่อความสง่างาม” ชี้ให้เห็นว่า สภาฯให้ความสำคัญต่อการแก้รัฐธรรมนูญ และที่สำคัญไปกว่านั้นยังต้องการตอกย้ำว่ามี “คนกลาง” อย่าง สุชาติ มานั่งเป็นประธานฯ เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยก เมื่อเทียบกับการที่ จะได้ อภิสิทธิ์ จากพรรคประชาธิปัตย์มานั่งอยู่หัวโต๊ะอย่างชัดเจน ขณะที่เมื่อมองไปยัง “ปีกฝ่ายค้าน”เองที่ดูเหมือนว่าเวลานี้ จะมีก็แต่ “พรรคเพื่อไทย” ที่จะเป็น “หัวหอก” เหนือ “อนาคตใหม่” ด้วยเพราะ ท่าทีและ “ธง”ในการแก้รัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่ได้ประกาศกร้าว ประกาศท่าที ว่าจะ “ฉีก”รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หรือจ้องแก้ไขในประเด็นที่เต็มไปด้วยความเปราะบาง อ่อนไหว จนทำให้มีแต่จะ “สุ่มเสี่ยง” พากัน “ตายหมู่” ทั้งหมดก่อนที่จะได้มีโอกาสแก้รัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ แม้ในระหว่างที่ พรรคร่วมรัฐบาล อย่างประชาธิปัตย์และพลังประชารัฐ กำลังเปิดศึกช่วงชิงเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการฯกันเองอยู่นั้น พรรคเพื่อไทย จะไว้วางใจสถานการณ์ว่าทุกอย่างจะราบรื่นได้หมด เพราะอย่าลืมว่า “ 250สว.” ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำคลอดมากับมือ นั้นคือ “ขวากหนาม” ชิ้นใหญ่ เพราะหาก สว.ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย ในการพิจารณาวาระแรก ทุกอย่างก็ถือว่า “จบเกม” ด้วยเหตุนี้ “เสรี สุวรรณภานนท์” สว. จึงออกมาประกาศชัดๆว่า เวลานี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญ และถ้ามีประเด็นเรื่องการลิดรอนอำนาจของสว. ก็จะไม่เอาด้วยแน่นอน ล่าสุด พรรคเพื่อไทย โดย “สุทิน คลังแสง” ส.ส.มหาสารคาม ในฐานะรองประธานวิปฝ่ายค้าน จึงอดรนทนไม่ไหว ต้องออกมาสวนกลับ ว่าไม่แปลกใจที่ทั้งสว.และพรรคพลังประชารัฐ จะออกอาการ “ตีรวน” ตั้งแต่ในชั้นการตั้งคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะกลัวว่าจะต้องสูญเสียผลประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เท่านั้น! ภายใต้เกมการแย่งชิง “การนำ” กำหนดเกมแก้รัฐธรรมนูญจากแต่ละฝ่ายนั้น ยังพบประเด็นที่น่าสนใจซ้อนลงไปมากกว่าสาระว่า เก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการฯ จะตกเป็นของตัวแทนจากประชาธิปัตย์หรือพลังประชารัฐ ยังปรากฎว่า บนกระดานการเมืองรอบนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ยังเดินเกมการเมืองภายในพรรคไปในคราวเดียวกัน น่าแปลกใจหรือไม่ที่อยู่ดีๆ ก็พลันปรากฎชื่อของอภิสิทธิ์ ขึ้นมาในฐานะ “แคนดิเดต” ผู้ชิงเก้าอี้ประธานกรรมาธิการฯ จริงอยู่แม้ในเบื้องแรก ที่ไปที่มา จะมาจาก “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” หัวหน้าพรรคประชาชาติ ที่ชงชื่ออภิสิทธิ์ ขึ้นมากลางวงการเมือง แต่ต่อจากนั้นก็เกิดการรับลูกจาก “คนใน” ของประชาธิปัตย์ ว่าอภิสิทธิ์ มีความเหมาะสมที่จะนั่งในเก้าอี้ประธานด้วยประการทั้งปวง จนมาสู่การมีมติจากพรรคว่าจะเสนอชื่อ อภิสิทธิ์ เป็นกรรมาธิการฯ โดยมี “เทพไท เสนพงศ์” ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือน “กระบอกเสียง” สื่อสารและพูดแทน อภิสิทธิ์ ว่าเจ้าตัวรับรู้มติของพรรคแล้ว และพร้อมที่จะเข้าไปทำหน้าที่ในกรรมาธิการฯ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา นับตั้งแต่เทพไท ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะพูดแทน อภิสิทธิ์ หลายคนอดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่า สิ่งที่เทพไท ส่งสัญญาณผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง จนมาถึงบทสรุปว่าอภิสิทธิ์ พร้อมที่จะเข้าไปคุมเกมแก้รัฐธรรมนูญ หากทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่เทพไท บอก แล้วเหตุใด อภิสิทธิ์ จึงไม่ออกมาปฏิเสธ? หรือนี่คือหนึ่งในปฏิบัติการกรุยทาง ถางทางให้ อภิสิทธิ์ ได้คืนสังเวียน คืนฟอร์มในจังหวะที่ถูกที่ถูกเวลา ! อาการไม่ตอบรับหรือปฏิเสธของอภิสิทธิ์ ทำให้อดที่จะมองย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เคยมีข่าวลือหนาหูว่า อภิสิทธิ์ เตรียมไขก๊อก ลาออกจากส.ส.หากพรรคประชาธิปัตย์มีมติ “เข้าร่วมรัฐบาล” กับพรรคพลังประชารัฐ หนุน “บิ๊กตู”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็น นายกฯรอบสอง เพื่อแสดงจุดยืนที่ตัวเองเคยประกาศก่อนวันเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 ที่ผ่านมาว่าจะไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ให้สืบทอดอำนาจ จนมีผลทำให้คะแนนพรรคประชาธิปัตย์ทรุดฮวบ ชวดที่นั่งส.ส.จนน่าใจหาย ในครั้งนั้น แม้มีข่าวลือสะพัดรอบแล้วรอบเล่า แต่อภิสิทธิ์ กลับไม่มีท่าทีตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ที่สุดแล้วในวันที่ 5 มิ.ย.เขาได้แถลงข่าวประกาศลาออกจากส.ส.ของพรรค กลางสภาฯ เพราะไม่อาจฝืนมติพรรค แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจทำใจยกมือโหวตหนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯได้เช่นกัน หลังจากประกาศลาออกจากส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคในวันนั้นแล้ว อภิสิทธิ์ กลายเป็นคนตกงาน ไม่ได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในสภาฯ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า DNA ความเป็นนักการเมืองของอภิสิทธิ์ จะเลือนหายไปด้วย ตลอดห้วงหลายเดือนที่ผ่านมา เขาใช้เวลาไปกับการทำกิจกรรมกับพรรคนอกสภาฯ ควบคู่ไปกับการเดินสายบรรยาย ในเวทีต่างๆ หรือแม้แต่การหันไปเป็น “ทาสแมว” เลี้ยงแมวของบุตรสาวคนโต นำเสนอตัวตนในอีกมิติหนึ่งที่ไม่ใช่ “นักการเมือง” แต่ทั้งนี้ มีรายงานว่า การเคลื่อนไหวภายในพรรคประชาธิปัตย์เองใช่ว่าจะ “สงบเงียบ” เมื่อหลังจากที่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อภายหลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล ในทางตรงกันข้าม ภายในพรรคเกิด “แรงกระเพื่อม” อยู่เป็นระยะ ๆว่าอีกไม่นานเกินรอ “มาร์ค จะกลับมา!” เมื่อถึงเวลาและจังหวะที่เหมาะสม มากพอ กลุ่มอำนาจที่เชียร์อภิสิทธิ์ เองมั่นใจว่า เมื่ออภิสิทธิ์ ได้กลับมาในจังหวะที่ถูกที่ ถูกเวลา สถานการณ์ต่างๆทั้งในและนอกพรรค อาจจะดีขึ้นกว่าที่กำลังเป็นอยู่ เพราะอย่างน้อย ผลการสำรวจจากโพลที่ค้นหา “รัฐมนตรีขวัญใจประชาชน” ครั้งล่าสุด คะแนนนิยมก็คงไม่เทไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จนเกิดคำถามทิ่มแทงใจคนประชาธิปัตย์ ดังนั้นหากจะประเมินเกมการเมืองบนกระดานครั้งนี้ จะมีวาระไหนที่เหมาะสมเกินไปกว่าการส่งอภิสิทธิ์ ขึ้นชิงเก้าอี้ประธานกรรมาธิการแก้รัฐธรรมนูญ อีกแล้ว เพราะไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร พรรคพลังประชารัฐ และพล.อ.ประยุทธ์ จะไฟเขียวหรือไม่ แต่นี่คือเส้นทางที่ถูกตระเตรียมเอาไว้ต้อนรับสำหรับการกลับมาของอภิสิทธิ์ ที่สวยงาม และได้แต้มมากที่สุด !