SMART เผยผลประกอบการ Q3/62 กวาดรายได้รวม 125.48 ล้านบาท โต 36.26% กำไรสุทธิ โต 11.83% โค้งสุดท้ายปีนี้ มั่นใจตลาดอิฐมวลเบาในประเทศโตต่อเนื่อง จากความต้องการคุณภาพสินค้าอิฐมวลเบา บล็อกมวลเบาตกแต่งที่ได้มาตรฐานและประหยัดพลังงานรับโครงการก่อสร้างฟื้นตัว รุกขยายช่องทางจัดจำหน่ายในทุกช่องทาง อาทิ โมเดิร์นเทรด ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ปั๊มยอดขาย ขณะที่ตลาดต่างประเทศในกลุ่ม CLMV มียอดสั่งซื้อต่อเนื่อง นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยว่าผลประกอบการงวดไตรมาส 3/62 มีรายได้รวม 125.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.40 ล้านบาท หรือ 36.26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 92.085 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 14.804 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 1.785 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือน มีรายได้รวม 342.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.61 ล้านบาท หรือ 28.30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 267.13 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 23.235 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 20.196 ล้านบาท ทั้งนี้สาเหตุที่ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก มีปัจจัยสนับสนุนจากความเชื่อมั่นของกลุ่มลูกค้าในการใช้วัสดุอิฐมวลเบาที่ได้มาตรฐาน และประหยัดพลังงานมากขึ้น อีกทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการเมกะโปรเจคภาครัฐ โครงการก่อสร้างภาคเอกชน อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในทุกช่องทาง อาทิ โมเดิร์นเทรด ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง เพิ่มตัวแทนจำหน่าย ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ทำให้บริษัทสามารถขยายพื้นที่การกระจายสินค้าไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น “ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาในประเทศ มีทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ EEC ผลักดันให้เกิดการลงทุนก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม โครงการเมกะโปรเจคขนาดใหญ่ของภาครัฐ อาทิ งานก่อสร้างอาคารสถานีรถไฟฟ้าสายต่างๆที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทยอยลงทุนในโครงการใหม่ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบา ปรับตัวดีขึ้น” นอกจากนี้ SMART ยังคงเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ผลักดันสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลาย และมีการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้งานภาคเอกชน 70% งานภาครัฐ 28% และต่างประเทศ 2% โดยเป็นกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline ) เพื่อกระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโต และสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่มบล็อกมวลเบาตกแต่ง อีกทั้งได้มีการจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดี และมีคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าสถาปนิก ผู้รับเหมารายย่อย และเจ้าของบ้านมากขึ้น