อีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญในระดับโลกสำหรับการเข้ามาของระบบ 5G ที่ในปีหน้านี้หลายๆประเทศกำลังจะได้ทดลอง และสัมผัสกันอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งระบบดังกล่าวว่ากันว่าจะมีความรวดเร็วกว่าระบบเดิมอย่าง 4G มากขึ้นถึง 10 เท่า และเมื่อเข้ามาแทนที่ของเก่าแล้วก็เป็นที่แน่นอนว่าโลกโซเชียลและการเชื่อมต่อแบบไร้พรหมแดนของทุกคนจะมีความรวดเร็ว ฉับไว ทันใจยิ่งกว่ากระพริบตา และยังจะนำมาซึ่งประสบการณ์ใหม่ๆในแบบที่ทุกคนไม่เคยได้เจอมาก่อนอย่างแน่นอน สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ได้จัดกิจกรรม Innovation Thailand Expo 2019 หรือ ITE 2019 ภายใต้แนวคิด “Social Innovation in the City” เพื่อนำเสนอนวัตกรรมเพื่อสังคมที่ตอบโจทย์แก้ไขปัญหาของชุมชนและสังคมที่เกิดจากการขยายตัวของเมือง พร้อมด้วยเวทีถ่ายทอดความรู้นวัตกรรมจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ โดยหนึ่งในหัวข้อการเสวนาที่น่าสนใจคือ “Fake News & Future Media การรับมือกับเฟคนิวส์และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสื่อในอนาคต” ซึ่งเป็นการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มเทคโนโลยีในยุคที่ Internet of things or Smart devices เชื่อมต่อแทบทุกอย่างบนโลกไว้ด้วยกัน ส่งผลกระทบโดยตรงกับการพัฒานวัตกรรมด้านสื่อ พร้อมทั้งแนวทางการรับมือกับ Fake News ที่มาพร้อมกับความเร็วในยุคอินเทอร์เน็ตแบบ 5G ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)กล่าวว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีความรวดเร็วขึ้นจะเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยการเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือเทคโนโลยีต่างๆ หรือการสั่งการผ่านระบบปฏิบัติการจะมีความหน่วงเวลาหรือมีความใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุดเช่น การสั่งงานอุปกรณ์จากระยะไกลที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ทันที นอกจากนี้แม้แต่การรับข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์ของประชาชนจะมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ส่งผลให้โลกออนไลน์เชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็วมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และแน่นอนว่าประสิทธิภาพของเครือข่ายไร้สายที่หลากหลายองค์กรกำลังพัฒนาให้รวดเร็วนั้น จะเป็นการสร้างทั้งโอกาสและผลกระทบแก่สื่อต่างๆ ซึ่งหากมองในแง่การสร้างโอกาสจะส่งผลให้การทำงานของสื่อในอนาคตได้รับโอกาสคือ 1.สะดวก รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งจะช่วยให้การรายงานสถานการณ์มีความฉับไวและเกิดการแข่งขันในด้านดังกล่าวมากยิ่งขึ้น 2.เข้าถึงทุกคน ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์ สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 10 เท่า จากที่สามารถรับคนได้ราว 1 แสนคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม.กลายเป็น 1 ล้านคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม. 3.ช่วยเพิ่มคุณภาพของการรับสาร ซึ่งไม่ว่าจะเป็นภาพ วิดีโอ เสียง จะมีความคมชัดและเสมือนจริงมากอีกหลายเท่าตัว 4.ตอบสนองต่อผู้ใช้งานมากขึ้นในทุกกิจกรรม โดยทุกคนจะสามารถทำงาน และเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างที่อยู่บน Cloud ไม่ว่าจะรูปแบบภาพ หรือวิดีโอได้แบบทันทีที่ต้องการ รวมถึงความเร็วในการดาวน์โหลดและอัพโหลดที่สูงกว่าเทคโนโลยี 4G 5.เป็นแหล่งสร้างรายได้ เพราะมีความประหยัด และมีประสิทธิภาพสูง โดยจะได้เห็นผู้คนผันตัวมาทำคอนเทนท์ที่ให้สาระและความบันเทิงมากยิ่งขึ้น 6.รองรับการเชื่อมต่อที่มากกว่าอุปกรณ์สื่อสารเช่น การนำไปใช้ในระบบรถยนต์ การขนส่ง การสำรวจภาคสนาม 7.เก็บข้อมูลทุกอย่างได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งสื่อต่างๆจะสามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้รับสารได้ทุกอุปกรณ์ และนำมาพัฒนาคอนเทนท์ได้อย่างสร้างสรรค์และตรงกับกลุ่มของผู้บริโภคได้มากกว่าเดิม ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความรวดเร็วของระบบอินเทอร์เน็ตที่มีความรุดหน้านั้นยังจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิด “Media Innovation” หรือการยกระดับนวัตกรรมขึ้นในอุตสาหกรรมสื่อ ผ่านการสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยีสื่อรูปแบบใหม่ หรือต่อยอดเทคโนโลยีสื่อเดิม และการพัฒนาเนื้อหาสื่อสารรูปแบบใหม่ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านความรู้ทัศนคติของผู้ส่งและผู้รับสาร รวมถึงการเกิดนวัตกรรมที่จะช่วยสร้างให้เกิดสื่อที่มีมูลค่าสูง เนื้อหารูปแบบใหม่ที่มีความสร้างสรรค์ แปลกใหม่ สามารถแข่งขันได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการยกระดับอุตสาหกรรมสื่อ ทั้งนี้ยังผลักให้เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการเกิดธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ที่ชื่อว่า MARTech (มาร์เทค) หรือกลุ่มธุรกิจดนตรี (Music) ศิลปะ (Art) และนันทนาการ (Recreation)เช่น มิวสิคสตรีมมิ่ง วิดีโอคอนเทนต์ โฆษณาบนโซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่ออนไลน์เกม โดยอุตสาหกรรมนี้มีศักยภาพในการเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันมีมูลค่าตลาดสูงถึง 478,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตถึง 6.5% หรือกว่า 500,000 ล้านบาทในปี 2022 ซึ่งการเติบโตของ MARTech ยังจะเป็นโอกาสที่จะทำให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงดนตรี การส่งออกสินค้าทางความคิดสร้างสรรค์ โดยประเทศตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในด้านดังกล่าวเช่น เกาหลี ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เป็นต้น พ.ต.ท.พัฒนะ ศุกรสุต ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI กล่าวว่า ความรวดเร็วที่เกิดขึ้นจากการเข้ามาของระบบ 5G ยังส่งผลกระทบด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการนำเสนอข่าว การเผยแพร่ข้อมูล หรือแม้แต่การเก็บรักษาความเป็นส่วนตัว เนื่องจากในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอยู่ในระบบออนไลน์เป็นจำนวนมากทำให้คนเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย รวดเร็ว มีข้อมูลข่าวสารให้เลือกอ่านได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งผลที่ตามมาคือความรวดเร็วนั้นจะส่งผลให้การกลั่นกรองข้อมูลลดน้อยลงไป เพราะสื่อเองก็ต้องการนำเสนอข่าวที่รวดเร็วสนองความต้องการของผู้รับ ประชาชนทั่วไปก็ต้องการเข้าถึงข้อมูลแบบเร่งด่วน จึงกลายเป็นที่มาของการสร้างข่าวปลอมหรือที่คุ้นหูกันดีว่า Fake News (เฟคนิวส์) นอกจากนี้ยังนำมาซึ่งผลกระทบอื่นๆได้แก่ 1.การรั่วไหลของข้อมูล โดยเฉพาะการถูกแฮ็กความลับส่วนบุคลหรือขององค์กร 2.เกิดพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง (Cyber Bullying) โดยเฉพาะในรูปแบบของข้อความและรูปภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดความเกลียดชังและนำมาซึ่งความแตกแยกในสังคม 3.เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคข่าวสาร ทั้งขาดการวิเคราะห์ข้อมูล เกิดความความเชื่อในรูปแบบที่ผิด การโพสต์ข้อมูลโดยขาดการกลั่นกรอง เกิดความใจร้อนหรือหัวรุนแรงจากการยุยงปลุกปั่นด้วยข้อความ 4.การสร้างโปรแกรมหรือช่องทางเพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และการทำธุรกรรมประเภทต่างๆ 5.ลดทอนความสัมพันธ์ เนื่องจากความกว้างไกลของโซเชียลมีเดียที่เชื่อมต่อผู้คนได้ทั่วโลก และความเห็นต่างจากการนำเสนอข้อมูลต่างๆของสื่อ และอาจทำให้ผู้คนพูดคุยกันในชีวิตน้อยลง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีผลกระทบที่ตามมามากมายจากความรวดเร็วของระบบอินเทอร์เน็ต และการพัฒนาที่ก้าวล้ำของผู้ให้บริการโซเชียล แต่เรื่องดังกล่าวใช่ว่าจะยากต่อการป้องกันหรือรับมือ โดยแนวทางที่สำคัญนั้นต้องเริ่มจากตัวของผู้ให้บริการเองที่จะต้องมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อการให้บริการไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอความจริง การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ หรือแม้กระทั่งการผลิตคอนเทนท์ที่มีเนื้อหาจรรโลงสังคม ขณะที่ลำดับต่อมาคือ การมีกฎระเบียบควบคุมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดขอบเขตที่พอดีสำหรับการนำเสนอและบริโภคข่าวสาร และไม่ใช้สิทธิเสรีภาพในเรื่องดังกล่าวมากเกินความจำเป็น ส่วนอีกแนวทางที่สำคัญก็คือ การสร้างความรู้ที่เท่าทันสำหรับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการเกิดขึ้นและระดับความน่าเชื่อถือของสื่อ การจำแนกประเภทของโซเชียลมีเดียที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล หรือแม้แต่กระทั่งการสร้างแพลตฟอร์ม เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือข่าวได้ เป็นต้น