ลานบ้านกลางเมือง / บูรพา โชติช่วง วัดสวนดอก 1 ในวัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ เมืองเชียงใหม่มีวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองอยู่จำนวนมาก วัดสวนดอกเป็นหนึ่งในนั้น ไปวัดสวนดอกเที่ยวนี้ (24 ก.พ. 60) เป็นการอัพเดดภาพถ่ายพระวิหารหลวงเก่าแก่อายุเกือบ 100 ปี หลังจากมีการบูรณะครั้งล่าสุด พ.ศ.2555 เนื่องด้วยสภาพทรุดโทรมและบางส่วนชำรุดเสียหายไปตามกาลเวลา ใช้ระยะเวลาบูรณะ 1 ปีแล้วเสร็จ ล่วงมาถึงปัจจุบันพระวิหารหลวงดูสวยงาม วัดสวนดอก ตั้งอยู่ตำบลสุเทพ จัดว่าพื้นที่ในวัดมีทัศนียภาพดี เมื่อผ่านซุ้มประตูวัดเข้าไปเป็นลานสนามหญ้าโล่งกว้างขวาง ทำให้แลเห็นโบราณสถาน พระวิหาร เจดีย์ และสุสาน(กู่) ตั้งอยู่เกือบกลางพื้นที่วัด ดูโดดเด่นถนัดตา ส่วนอาคารใช้สอยอื่นๆ เข้ามุมชิดกำแพง จึงทำให้พื้นที่วัดโดยรวมดูโปร่งสายตา (ต่างไปจากวัดอื่นๆ ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อเดินในบริเวณวัด ทัศนียภาพดูอึดอัด เพราะแน่นไปด้วยอาคารวัตถุใช้สอย นอกเหนือไปจากโบราณสถานที่ตั้งเดิมอยู่ก่อนแล้ว) ประวัติวัดสวนดอก ตามข้อมูลสำนักศิลปากรที่ 7 (เดิม 8) เชียงใหม่ ว่าสังเขปดังนี้ วัดสวนดอกเดิมชื่อวัดบุปผารามสวนดอกไม้ พญากือนากษัตริย์ราชวงศ์มังรายลำดับที่ 7 (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1899-1929 ตามชินกาลมาลีปกรณ์) มีพระประสงค์จะสนับสนุนพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีจากศิลาจารึกหลักที่ 62 ศิลาจารึกวัดพระยืน จ.ศ. 732 (พ.ศ.1913) ได้กล่าวไว้ว่า วัดสวนดอกสร้างในปี พ.ศ. 1914 หลังจากที่พญากือนาทรงส่งสมณฑูตมีหมื่นเงินกองปะขาวยอด และปะขาวสาย ขอพระราชทานพระบรมราชนุญาตพระเจ้าลิไทยจากสุโขทัย อาราธนาพระสุมนเถระมาประดิษฐานพุทธศาสนาฝ่ายอรัญวาสีในอาณาจักรล้านนา อีกหนึ่งปีต่อมา (พ.ศ. 1913) พญากือนาทรงสร้างวัดสวนดอกไม้ในเมืองเชียงใหม่ขึ้น เพื่อเป็นที่พำนักของพระสุมนเถระ และทรงแต่งตั้งเพระสุมนเถระเป็นพระสังฆราชในพระมหาสุมนสุวรรณรัตนสามี ตำนานมูลศาสนากล่าว วัดนี้มีขนาดเท่าวัดเชตวันมหาวิหาร ที่นายอนาคบิณฑิกมหาเศรษฐีสร้างถวายแด่พระพุทธเจ้าที่กรุงสาวัตถี มีพุทธเขตกว้าง 311 วา ยาว 33/ วา ทรงโปรดให้สร้างพระอุโบสถ (ปัจจุบันคือวัดเพระเจ้าเก้าตื้อ) นอกจากนี้ ทรงโปรดให้สร้างเจดียืเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระมหาสุมนเถระนำมาจากสุโขทัย สมัยพญาเมืองแก้ว (ครองราชย์ พ.ศ.2039-2069) ทรงโปรดให้รื้อเรือนหลวงของพระองค์มาสร้างมหาวิหาร ในประชุมตำนานลานนาไทย เล่ม 2 กล่าวว่าพระองค์ทรงโปรดให้สร้างปราสาทท่ามกลางมหาวิหาร เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปฏิมากรสร้างหอมนเฑียรธรรม พ.ศ. 2047 พญาเมืองแก้วทรงโปรดให้หล่อพระพุทธรูปใหญ่ประดิษฐานในพระอุโบสถ วัดบุปผารามสวนดอกไม้เป็นพระอารามหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ของกษัตริย์ราชวงศ์มังราย วัดบุปผารามสวนดอกไม้เป็นวัดร้างในช่วงที่มีศึกสงครามพม่า เช่นเดียวกับวัดอื่นๆ ในเชียงใหม่ จนกระทั่ง พ.ศ. 2429 พระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้โปรดให้ย้ายกู่เจ้านายในราชกุล ณ เชียงใหม่ จากบริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัด(ปัจจุบัน) ไปไว้ที่วัดบุปผาราม(สวนดอก) ตั้งแต่นั้นมา เจ้านายตระกูล ณ เชียงใหม่ ก็ได้ทำนุบำรุงวัดนี้สืบมา พ.ศ. 2474 ครูบาศรีวิชัยเป็นประธานพร้อมด้วยศรัทธาของประชาชนทั้งหลาย ได้ทำการปฏิสังขรณ์พระวิหารใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ด้านหลักฐานทางโบราณคดี กำแพงแก้ว นับว่าวัดสวนดอกในยุคแรก เป็นวัดฝ่ายสำนักนิกายรามัญวงค์ ปัจจุบันทางเข้าออกสัญจรที่สำคัญของวัดต้องเปลี่ยนไปกลางเป็นด้านข้างของวัด ที่ได้เจาะช่องกำแพงด้านทิศเหนือเป็นทางเข้าออกวัดไปโดยปริยาย โดยปรกติวัดนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เจดีย์ประธานทรงระฆังแบบพื้นเมือง ตั้งอยู่บนฐานขนาดใหญ่ที่แต่เดิมควรมีรูปช้างประดับโดยรอบ ทั้งสี่ด้านของฐานมีบันไดทางขึ้นลานประทักษิณทั้งสี่ด้าน มีมกรคายนาคปูนปั้นเป็นราวบันไดมกรคายนาคนั้นมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 สำหรับเจดีย์และโขงบันไดทางขึ้นน่าจะซ่อมครั้งใหญ่ในสมัยครูบาศรีวิชัย เมื่อพ.ศ. 2472 พระวิหารหลวง ดูโดดเด่น ซึ่งครูบาศรีวิชัยได้รื้อของเดิมออกและสร้างวิหารหลวงองค์ปัจจุบันแทนในปี พ.ศ. 2475 นับเป็นวิหารหลวงที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ลักษณะเป็นวิหารโถง (วิหารที่ไม่มีฝาผนัง) บนสันของหลังคามีบราลีรูปหงส์คาบกระดึงเรียงรายกันเป็นแถวยาว ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปบุด้วยทองคำองค์ใหญ่ สร้างขึ้นในสมัยพระเมืองแก้ว มีน้ำหนักทองเท่ากับน้ำหนักของพระเมืองแก้ว และยังมีพระพุทธรูปอื่นๆ อีก กู่บรรจุอัฐิเชื้อสายเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้สร้างขึ้น พ.ศ. 2452 โดยโปรดให้ย้ายและอัญเชิญพระอัฐิพระญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่อยู่เรียงรายไม่เป็นระเบียบตามแนวแม่น้ำปิงฝั่งตะวันตก เช่น พระเจ้ากาวิละ พระเจ้าช้างเผือก เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์อื่น รวมทั้งพระเจ้าอินทวิชยานนท์ พระบิดาของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี และยังมีกู่ครูบาศรีวิชัย สร้างขึ้นบรรจุอัฐิส่วนหนึ่งของท่าน (มรณะภาพ พ.ศ.2481) พระเจ้าเก้าตื้อ เป็นพระพุทธรูปศิลปล้านนา อิทธิพลสุโขทัย มีพุทธลักษณะงดงามมากที่สุดองค์หนึ่งของล้านนา ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย พระโอษฐ์ทาด้วยช่าดสีแดงซึ่งทางเหนือนิยมมาก มีรอยต่อแปดแห่ง เดิมประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดเก้าตื้อ ซึ่งปัจจุบันวัดเก้าตื้อได้รวมกับวัดสวนดอกเข้าเป็นวัดเดียวกัน วัดสวนดอก หนึ่งในวัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่