นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการที่เคยเรียกร้องให้กระทรวงการคลังและกรมสรรพากรเรียกเก็บเงินภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปของนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรนายทักษิณ ชินวัตร จำนวน1.6 หมื่นล้านบาทว่า เหตุพิพาทนี้เกิดจากกรณีการซื้อขายหุ้นในราคาพาร์หุ้นละ1บาท แล้วนำมาขายต่อให้เทมาเสกในราคาหุ้นละ49.25 บาท รวม164,600,000หุ้น เมื่อวันที่23 ม.ค.2549 ถือเป็นวันที่เริ่มนับว่ามีเงินได้เกิดขึ้น ต้องเสียภาษีส่วนต่างราคาหุ้นคนละ7,941,950,000 บาท รวมเป็นเงิน15,882,000,000บาท ทั้งนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองมีคำพิพากษา เมื่อ26 ก.พ. 2553ในคดีแดงที่ อม.1/2553ที่อัยการสูงสุดฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร ผู้ต้องหาที่1-3ศาลวินิจฉัยให้ต้องเสียภาษีตามมาตรา61 คือกรมสรรพากรสามารถจัดเก็บภาษีได้ทันทีและเป็นคนละกรณีกับการร่ำรวยผิดปกติ เนื่องจากนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของผู้ถือหุ้นที่ขายหุ้นให้ ก็ต้องไปเสียภาษี จึงเป็นคนละเรื่องกับที่นายทักษิณอ้างว่าได้จ่ายจากการยึดทรัพย์ไปแล้วคนละเรื่องกัน นายชาญชัย กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นน.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณได้ร้องถามว่าต้องเสียภาษีอีกหรือไม่ นางเบญจา หลุยเจริญ ปฎิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากรได้ทำหนังสือตอบกลับว่าไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาจึงนำหนังสือราชการนี้ไปอ้างว่าไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ ศาลอาญาได้มีคำตัดสินเมื่อ28 ก.ค.2559 ว่า นางเบญจา และอดีตผอ.สำนักกฎหมาย รวมถึงเจ้าหน้าที่อีก2ราย คือจำเลยที่1-4 มีความผิดร่วมกันปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกรมสรรพากรม2คำพิพากษานี้เป็นเรื่องการเงินที่ทำธุรกรามอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีให้รัฐ จากการซื้อขายหุ้นถูกมาขายแพง ไม่ใช่เรื่องการเมืองอย่างที่มีคนบิดเบือน ดังนั้นกรมสรรพากรต้องเก็บภาษีส่วนนี้ให้แก่รัฐก่อน31มี.ค.2560 ก่อนคดีหมดอายุความเพื่อรักษากฎหมายตามคำพิพากษาของสองศาล "ถ้ากรมสรรพากรยังนิ่งเฉย ทราบว่ากระทรวงการคลังได้ทำหนังสือแจ้งเตือนไปแล้ว3 ครั้ง เช่นเดียวกับสตง.ที่เตือนไป3ครั้งให้เรียกเก็บภาษีจำนวนนี้ ถ้าพ้นวันที่31มี.ค. จากการหารือของอนุกรรมาธิการปราบโกง สปท. ทางป.ป.ช.จะแจ้งเรื่องนี้ต่อปปง.ขอยึดอายัดทรัพย์ในกรณีนี้เพราะถือว่าเข้าข่ายความผิดกฎหมายฟอกเงินแล้ว เพราะเป็นนิติกรรมอำพราง รวมถึงอธิบดีกรมสรรพากรจะต้องถูกดำเนินคดีมาตรา157 และ154 ของประมวลกฎหมายอาญาและต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย และข้อเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ใช้คำสั่งทางปกครองย้ายอธิบดีกรมสรรพากรและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ไม่ทำหน้าที่ โดยหาคนที่ดีมีความสามารถทำแทน และไม่ใช่เรื่องการกลั่นแกล้งใดๆแต่เป็นการตามคำพิพากษาศาล หากนายกฯไม่ทำก็จะโดนมาตรา157 เสียเอง ไม่ทำก็ไม่ได้ถ้าปลอ่ยให้อายุความขาดก็โดนกันทั้งพวง " นายชาญชัย กล่าว