หวนมาปรากฏบนหน้าข่าวอีกครั้ง สำหรับ “อาบู บัคร์ อัล-บักห์ดาดี” ผู้นำขบวนการก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรง “รัฐอิสลาม” หรือ “ไอเอส” หรือที่บางคนเรียว่า “ไอซิส” บุคคลที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้ก่อการร้ายแถวหน้าของโลก และเป็นผู้ที่มหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกา ต้องการตัวมากที่สุด เพราะถึงขนาด “กระทรวงการต่างประเทศ” ของทางการวอชิงตัน ตั้งค่าหัวเป็นรางวัลนำจับ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย ด้วยมูลค่าสูงถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยก็กว่า 754 ล้านบาท ด้วยประการฉะนี้ บรรดากองทัพพันธมิตรของสหรัฐฯ ทั้งหลาย จึงได้มีปฏิบัติการถล่มกลุ่มไอเอส ที่เคลื่อนไหวในอิรักและซีเรียอยู่เนืองๆ พร้อมๆ กับข่าวคราวการจับกุมตัวบ้าง หรือไม่ก็การสังหารนายบัก์ดาดีอยู่เป็นระยะๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่ขบวนการผงาดสะท้านขวัญชาวโลกมาตั้งแต่เมื่อปี 2557 ล่าสุด ข่าวการสังหารนายบักห์ดาดี ก็มีขึ้นอีกครั้งเมื่อต้นสัปดาห์นี้ หลังจากทางการสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้ปฏิบัติการโจมตีกลุ่มไอเอสในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศซีเรียตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีนายบักห์ดาดี เป็นเป้าหมายสุดยอดของปฏิบัติการโจมตีข้างต้น ก่อนที่ในเวลาต่อมาได้มีรายงานจากบรรดาสำนักข่าวต่างประเทศต่างๆ ว่า เชื่อว่าผู้นำขบวนการไอเอส ถูก “เด็ดหัว” จากปฏิบัติการถล่มหนนี้ รายละเอียดจากบรรดาสำนักข่าวทั้งหลาย ซึ่ง “นิวส์วีก” รายงานเป็นสำนักแรก ระบุว่า ปฏิบัติการบุกโจมตี มีขึ้นท่ามกลางความช่วยเหลือเรื่องการชี้เป้า บอกเบาะแสสถานที่กบดานโดย “หน่วยข่าวกรองกลางแห่งชาติสหรัฐฯ” หรือ “ซีไอเอ” ซึ่งระบุว่า หลบซ่อนตัวภายใน จ.อิดลิบ ทางตอนเหนือของซีเรีย พร้อมกันนี้ ทางซีไอเอ ยังระบุด้วยว่า นายบักห์ดาดี อาจจะออกจากที่หลบซ่อน เพื่อพยายามพาครอบครัวของเขาไปหลบภัยใกล้กับชายแดนของตุรกี ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเป็นโอกาสเหมาะสำหรับการบุกโจมตีในห้วงเวลาดังกล่าว ด้วยประการฉะนี้ แผนปฏิบัติการบุกถล่มจึงได้มีขึ้น โดยมีรายงานว่า นายบักห์ดาดี ไม่ยอมจำนน เมื่อจนมุมเข้า ก็ได้จุดชนวนระเบิดปลิดชีพตนเอง ส่งผลให้ทหารสหรัฐฯ ได้ตัวผู้นำขบวนการไอเอสในสภาพที่กลายเป็นศพ อย่างไรก็ตาม การที่ทางการสหรัฐฯ โดย “กระทรวงกลาโหม” หรือ “เพนตากอน” จะประกาศยืนยันว่า ร่างถูกระเบิดจนแหลกนั้น เป็นร่างของนายบักห์ดาดีจริงหรือไม่ ก้ต้องรอผลพิสูจน์การตรวจสอบสารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ และการตรวจสอบข้อมูลทางชีวภาพ หรือไบโอเมตริก ให้ทราบผลที่แน่ชัดเสียก่อน ทั้งนี้ เพราะรายงานข่าวในทำนองนี้ มีขึ้นหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเมื่อช่วงเดือน พ.ค. 2560 และเดือน ก.พ. 2561 ที่ระบุว่า นายบักห์ดาดี ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักแบบเจียนตายจากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ แต่สุดท้าย เขาก็ยังสามารถบัญชาการเหล่าสมุนไอเอสให้แผลงฤทธิ์ช็อกโลกในเวลาต่อมาได้ ทางด้าน บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า หากกองทัพสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จจริงตามรายงานข่าวข้างต้นจริง ก็ต้องถือว่า เป็น ลับ ลวง พราง ทางการทหารของสหรัฐฯ เลยทีเดียว ในปฏิบัติการเด็ดหัวนายบักห์ดาดี ซึ่งนอกจากการดำเนินด้านข่าวกรองอย่างทรงประสิทธิภาพแล้ว ก็ยังช่วงชิงการลงมือที่หลายฝ่าย โดยเฉพาะคู่แข่งอย่างรัสเซีย ก็ยังคาดไม่ถึง ภายหลังจากก่อนหน้ามีรายงานข่าวไปทั่วโลกแล้วว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้ถอนกำลังออกจากภาคเหนือของซีเรีย เพื่อที่จะกลับประเทศไปหาครอบครัวของพวกเขาไปกันแล้ว ตามการประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์ ในขณะที่มีรายงานการสู้รบระหว่างกองทัพตุรกีกับกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ด ตามเมืองต่างๆ ในภาคเหนือของซีเรีย แต่ปรากฏว่า ไปๆ มาๆ กองทัพสหรัฐฯ ยังคงไปสำแดงเดชบุกถล่มแหล่งกบดานของหัวหน้าไอเอส ใน จ.อิดลิบ แถมมิหนำซ้ำยังทำให้นายบักห์ดาดีถูกปลิดชีพไปผลสำเร็จอีกด้วย ไม่ว่าการปลิดชีพดังกล่าว จะเป็นการฆ่าตัวตายของนายบักห์ดาดีเองก็ตาม เหล่านักวิเคราะห์ยังแสดงทรรศนะด้วยว่า เป็นปฏิบัติการโจมตีที่กระชับฉับไวของกองทัพสหรัฐฯ เพื่อมิให้กองทัพรัสเซีย ซึ่งก็มีประจำการอยู่ใน จ.อิดลิบ เช่นกัน ได้ขยับปรับทัพกันได้ทัน ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์แสดงความคิดเห็นต่ออีกว่า เหตุปัจจัยที่ทำให้กองทัพสหรัฐฯ แทนที่จะเดินทางสู่ประเทศบ้านเกิด แต่กลับต้องมาตะลุยรบกับไอเอส จนมีข่าวว่า ชีวิตของนายบักห์ดาดีต้องปลิดปลงไปนั้น ก็เพราะสหรัฐฯ เข้าไปยึดครองแหล่งน้ำมันดิบในพื้นที่ภาคเหนือของซีเรีย อย่าง จ. อิดลิบ เป็นต้น อันเป็นพื้นที่กบดานฐานที่มั่นของกลุ่มก่อการร้ายดังกล่าวให้อยู่ในกำมือของพวกเขา ไม่ใช่ให้อยู่ในการควบคุมของพวกไอเอส หรือกองทัพรัสเซียในซีเรีย และด้วยประการฉะนี้ ก็บ่งชี้ว่า กองทัพสหรัฐฯ ยังคงตะลุมบอนกับกองกำลังของกลุ่มต่างๆ ในซีเรียอยู่ต่อไปอย่างไม่รู้ว่า จะไปจบสิ้นกันเมื่อไหร่