นับว่าเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงและแชร์แต่เป็นอย่างมากทีเดียวสำหรับเหตุการณ์ วันที่ 23 ต.ค สำหรับเหตุการณ์ที่ "หนุ่มซีวิคหัวร้อน" ที่ขับเฉี่ยวชนกับรถกระบะจนเกิดเป็นวิวาทะถึงการดูหมิ่นเหยียดหยามคนไทยและประเทศไทย ก่อนชาวเน็ตบางส่วนตั้งสมญานามให้ว่า "แว่น ยี้ไทย" วันนี้เรามาย้อนเหตุการณ์ว่าเกิดขึ้นและมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร เริ่มต้นจาก โลกออนไลน์เกิดกระแสวิจารณ์อย่างหนัก ภายหลังจากที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก@โต้ เจ็ทโด้ ระบุ "กลับรถไม่ดูรถ มาทางตรงเลยน่ะเสี่ย ลงมาด่า-ุยับเลย ไม่ตะบันหน้าให้ก็บุญแล้ว" พร้อมเผยคลิปเหตุการณ์หลังจากเกิดเหตุรถชน แต่ทางด้านหนุ่มแว่นเจ้าของรถซีวิค ซึ่งเป็นคู่กรณีได้ตรงเข้ามาต่อว่า ด่าทอฝ่ายเจ้าของคลิปซึ่งขับรถกระบะ ด้วยถ้อยคำหยาบคายอย่างรุนแรง และถามคู่กรณีมีปัญญาซื้อไหม เปลี่ยนกันชนใหม่ทั้งหมดกี่แสนกี่ล้านก็จะจ่าย ดูถูกคนไทยด้อยพัฒนา "ฉันไม่แคร์คนไทย ทำไมไม่ซื้อรถดีๆ ระบบเบรกดีๆ คันละล้านกว่าบาท" เมื่อฝ่ายเจ้าของคลิปได้ตอบกลับไปว่าทำไมต้องมาดูถูกกันก็ได้รับคำตอบว่า "ผมดูถูกด้วยความเต็มใจ" และไม่สนแม้ฝ่ายหญิงที่มาด้วยกันจะพยายามเข้ามาห้ามปราม อีกทั้งยังยื่นข้อเสนอเรียก 1 ล้านบาทเป็นการชดใช้โดยไม่รอเจ้าหน้าที่ประกันเดินทางมา และทิ้งท้ายกับคู่กรณีด้วยว่า พร้อมจะขึ้นโรงพักและจะหนีคดี อีกทั้งยังอ้างว่าไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปี ไม่น่ากลับมาที่นี่อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ได้มีผู้ใช้รถใช้ถนนพยายามช่วยเข้ามาห้ามปรามและให้ขยับรถซีวิคคันดังกล่าว เนื่องจากกีดขวางการจราจร แต่กลับกลายเป็นว่าถูกหนุ่มเจ้าของซีวิคตะโกนด่าใส่ หลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปออกไป ชาวเน็ตเข้ามาวิจารณ์การกระทำของหนุ่มหัวร้อน เจ้าของรถซีวิคกันอย่างรุนแรงเป็นจำนวนมาก ขณะที่ชาวเน็ตหลายราย ต่างแสดงความเห็นชื่มชมในความใจเย็นของฝ่ายหนุ่มกระบะ เจ้าของคลิปอีกด้วย จากเหตุการณ์ตามคลิปที่โพสลงสื่อ โซเชียลมีเดีย ต่างๆ ซึ่งมีพนักงานของบริษัท กาซ่า ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ใช้คำพูดและแสดงกริยาก้าวร้าวรุนแรง ทางบริษัทฯรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวและ "มีมติเป็นเอกฉันท์ให้พนักงานดังกล่าวพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ตามมาตรการและระเบียบบริษัทฯ โดยมีผลนับตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป โดยทางบริษัทฯกราบขออภัยมา ณ โอกาสนี้ค่ะ" อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ต่างมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความเห็นขอบคุณที่บริษัทดังกล่าวไม่นิ่งเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม "หนุ่มซีวิคหัวร้อน" ยังเคยเป็นหนึ่งในรายชื่อผู้มีสิทธิ์ เข้ารับการสอบสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกเป็นพนักงานจ้างเหมาบริการ ตำแหน่งพนักงานประชาสัมพันธุ์ ของสำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ โดยลงประกาศเมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โพสต์ข้อความถึงกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่หนุ่มเจ้าของรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค กลับรถแล้วชนรถกระบะคันหนึ่ง และยังต่อว่าด้วยถ้อยคำหยาบคายเชิงดูถูกคู่กรณีรวมถึงคนไทยด้วย ว่า ตามที่ปรากฏข่าวบนหนังสือพิมพ์และในสื่อออนไลน์ว่ามีบุคคลแสดงพฤติกรรมดูถูก ดูหมิ่นเหยียดหยามคนไทยทั้งประเทศ และถูกระบุว่าเป็นลูกชายของเลขานุการโท สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮลซิงกิ นั้น สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ขอเรียนว่าลูกชายของเลขานุการโท สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ คนปัจจุบันยังเรียนอยู่เกรด 8 ณ โรงเรียนท้องถิ่นในฟินแลนด์ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลที่เป็นข่าว บานปลายถึงขีดสุดจนทำให้หนุ่มซีวิคหัวร้อน ออกมายอมรับผิด โดยโพสต์ข้อความว่า...ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ขอโทษน้องคู่กรณีด้วยครับ และอยากให้สังคมไม่เอาภรรยาของผมมากี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมด" ตนยอมรับผิดเพียงผู้เดียว ตอนนี้เรื่องจบแล้ว ชดเชยค่าสินไหมและตกลงข้อเสนอซ่อมรถให้น้องใหม่แล้ว ข้อตกลงระหว่างตนกับน้องเป็นไปอย่างราบรื่นและจบลงด้วยดี "ผมอยากให้สังคมให้อภัยและให้โอกาสผม ผมขอโทษครับ ผมขอโทษ" เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้เมื่อช่วงค่ำ ของวันที่ 24 ต.ค. หนุ่มหัวร้อน ได้เดินทางมาที่ สภ.พุทธมณฑล พร้อมครอบครัว เพื่อให้ปากคำตำรวจถึงกรณีที่เกิดขึ้น โดยพนักงานสอบสวน ได้นำตัวเข้าไปสอบสวนทันที ทั้งนี้มีรายงานจากฝ่ายสืบสวนว่า เบื้องต้น หนุ่มหัวร้อนอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องรับประทานยา แต่ยังไม่ทราบว่าป่วยเป็นโรคอะไร และรักษาตัวที่ใด อย่างไรก็ตามจากคลิปที่ปรากฏทำให้ตำรวจแจ้งข้อหาดูหมิ่นซึ่งหน้า ดำเนินคดีตามกฏหมาย เช่นเดียวกับคู่กรณีก็เดินทางเข้าให้ปากคำพนักงานสอบสวน ด้วยเช่นกัน ท่ามกลางประชาชนคนไทยจำนวนมากที่รู้ข่าวก็ต่างแห่แหนกันมารวมตัวที่หน้าโรงพัก เพื่อจะขอดูหน้าของ หนุ่มหัวร้อน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องขอกำลังตำรวจจากภาค 7 และจังหวัดนครปฐมมาดูแลรักษาความปลอดภัยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น จากนั้นวันที่ 25 ตุลาคม 2562 เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวหนุ่มหัวร้อนรายดังกล่าวไปสอบสวนในเซฟเฮาส์ พร้อมกับจะนำตัวไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยว่า ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจริงหรือไม่ อย่างไรแล้วคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าเรื่องนี้จะจบลง อย่างไร และคงเป็นบทเรียนสำหรับคนทั่วๆไปว่าก่อนจะพูดอะไรกระแสโลกออนไลน์ทุกวันนี้มีการส่งต่อกันรวดเร็วมากและควรให้ โอกาสแก่คนที่ตกเป็นจำเลยสังคมเขาได้ออกมาชี้แจงว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร