กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเกาะติดสถานการณ์เบร็กซิต หลังอังกฤษ-อียูบรรลุข้อตกลงฉบับใหม่ว่าด้วยการถอนตัว พร้อมนำเสนอรัฐสภายุโรป-รัฐสภาอังกฤษเห็นชอบ 19 ต.ค.นี้ เตือนผู้ประกอบการไทยเตรียมความพร้อม นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยว่า จากกรณีที่สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป (อียู) สามารถบรรลุข้อตกลงฉบับใหม่ว่าด้วยการถอนตัวของสหราชอาณาจักรจากการเป็นสมาชิกอียูได้แล้ว และจะต้องนำข้อตกลงดังกล่าวเสนอให้รัฐสภายุโรป และรัฐสภา สหราชอาณาจักรเห็นชอบภายในวันที่ 19 ตุ.ค.62 เพื่อให้ทันกำหนดที่สหราชอาณาจักรจะต้องออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในวันที่ 31 ต.ค.62นั้น หากข้อตกลงฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาของทั้งสองฝ่าย สหราชอาณาจักรก็จะสามารถออกจากการเป็นสมาชิกอียูได้ แต่จะมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านจนถึงสิ้นปี 2563 ก่อนที่สหราชอาณาจักรจะแยกตัวออกจากอียูอย่างสมบูรณ์ โดยในช่วงเปลี่ยนผ่าน สหราชอาณาจักรจะยังคงเป็นสมาชิก อียูและใช้กฎระเบียบของอียู ปูทางให้ภาคธุรกิจและพลเมืองทั้งสองฝ่ายมีเวลาในการปรับตัว รวมทั้งผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจกับสหราชอาณาจักรและอียูก็จะมีเวลาในการเตรียมความพร้อมเช่นกัน “หากรัฐสภาสหราชอาณาจักรไม่เห็นชอบข้อตกลง เนื่องจากยังมีสมาชิกรัฐสภาและพรรคการเมืองคัดค้าน สหราชอาณาจักรมีทางเลือกคือ 1.ขอให้อียูขยายกำหนดเบร็กซิทออกไป เพื่อให้มีเวลาในการเจรจาจัดทำข้อตกลงถอนตัวที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย แต่จะยืดเวลาไปแค่ไหน ทั้งสองฝ่ายคงต้องตกลงกัน ซึ่งไม่น่าจะขยายได้นานเกินไป 2.ออกจากการเป็นสมาชิกอียูแบบไม่มีข้อตกลง(no-deal Brexit)ในวันที่ 31 ต.ค.62 ตามกำหนดเดิม” ทั้งนี้ที่ผ่านมาสหราชอาณาจักรได้เคยประกาศว่า หากเกิด no deal ได้เตรียมที่จะยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจำนวนกว่า 87% ของรายการสินค้าทั้งหมดเช่น จิวเวลรี่ ชิ้นส่วนยานยนต์ แว่นตา อาหารปรุงแต่ง ยางรถยนต์ เครื่องสำอาง และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ให้กับประเทศต่างๆ รวมทั้งอียู แต่จะยังคงเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าอีก 13% ของรายการสินค้าทั้งหมดเช่น ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก(ไก่และเป็ด) เนื้อหมู เนื้อแกะ ข้าว น้ำตาล เซรามิก รถยนต์ เอธานอล เนย และชีส เป็นต้น เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้ภาคธุรกิจมีเวลาปรับตัวและส่งผลกระทบผู้บริโภคน้อยที่สุด “ผู้ประกอบการและส่งออกของไทย ควรแสวงโอกาสจากการยกเว้นภาษีดังกล่าว และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับสินค้าส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าศักยภาพของไทยเช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ ของทำด้วยพลาสติก และจิวเวลรี่ เป็นต้น" โดยในปี 2561 สหราชอาณาจักรนำเข้าสินค้าจากไทยมูลค่า 3,963 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมเช่น จิวเวอรี่ ฮาร์ดดิสก์ ชิ้นส่วนยานยนต์ กระสอบและถุงทำจากพลาสติก วงจรพิมพ์ เครื่องเงิน แว่นตา เครื่องสำอางค์ ยางรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบของเครื่องพิมพ์ เป็นต้น สำหรับสินค้าเกษตรที่มีการนำเข้าจากไทยมูลค่าสูงเป็นสินค้าโควตาภาษี เช่น ข้าว ไก่แปรรูป พาสต้า ซอส และอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นต้น