จากข้อมูลสถานการณ์ “โรคไข้เลือดออก” ทั่วประเทศจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคในปี 2558 มีผู้ป่วยทั่วประเทศไทย 146,082 ราย ผู้ป่วยเสียชีวิต 154 ราย โดยกลุ่มอายุที่พบมาก คือ กลุ่มเด็กอายุระหว่าง 10 –14 ปี แต่สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเสียชีวิตสูงเมื่อป่วยเป็นไข้เลือดออก คือ กลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี กลุ่มผู้สูงอายุ คนท้อง คนอ้วน หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเลือด เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยที่เข้าข่ายความเสี่ยงนี้ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์พยาบาลที่มีประสบการณ์ นพ.สมเกียรติ  ลลิตวงศา  -  พญ.ปิยรัชต์ สันตะรัตติวงศ์ นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคไข้เลือดออกนับเป็นโรคประจำถิ่น ที่มาพร้อมกับเพชฌฆาตตัวน้อย “ยุงลาย” ที่มีอายุสั้นเพียง 7 วันเท่านั้น ซึ่งหลายคนตั้งคำถามว่าโรคไข้เลือดออกจะมาพร้อมสายฝนในฤดูฝนใช่หรือไม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคไข้เลือดออกสามารถเป็นได้ทุกฤดูกาล เพียงมีแหล่งน้ำขังที่สะอาดก็สามารถเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ แต่ในฤดูฝนมีความเสี่ยงสูงขึ้นเพราะปริมาณน้ำมากทำให้เกิดแหล่งน้ำขังในหลายพื้นที่ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ในฐานะโรงพยาบาลของ กระทรวงสาธารณสุขที่มีความเชี่ยวชาญดูแลรักษาโรคเด็กที่ยุ่งยาก ซับซ้อน เด็กป่วยถูกส่งต่อมาจากทั่วประเทศ พร้อมทั้งเป็นหน่วยงานที่มีศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางด้านไข้เลือดออก โดยเป็นผู้นำในการทำแนวทางการวินิจฉัย รักษา และฟื้นฟูสภาพผู้ป่วย ลดการตายหรือลดความพิการที่เกิดจากโรคไข้เลือดออก โดยได้รับการยอมรับในระดับโลกจากองค์การอนามัยโลกให้เป็น WHO Collaboration Center ด้านการดูแลรักษาไข้เลือดออก ได้มีการนำแนวทางและวิสัยทัศน์ของศูนย์ฯ ไปเผยแพร่ ซึ่งสามารถช่วยเหลือและลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยไข้เลือดออกลงได้อย่างมากในหลายๆ ประเทศ อาทิ บังคลาเทศ ภูฏาน บราซิล กัมพูชา เคปเวอร์ด อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย มัลดีฟ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ซูดาน ติมอร์เลสเต เวเนซูเอลา เป็นต้น วัดไข้ - ฉีดยา ด้าน แพทย์หญิงปิยรัชต์ สันตะรัตติวงศ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อในเด็ก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การป้องกันโรคไข้เลือดออกสามารถทำได้ 3 ขั้นตอน เปรียบเสมือนเป็นการสร้างเกราะภูมิคุ้มกันถึง 3 ชั้น โดยเกราะชั้นที่ 1 นั้น ปัจจุบัน มีแนวทางการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก โดยแนะนำให้ฉีดในเด็กอายุตั้งแต่ 9 ปี จนถึงผู้ใหญ่อายุ 45 ปี แบ่งการฉีดเป็น 3 เข็ม ระยะห่างกัน 6 เดือน (0, 6, 12 เดือน) แต่ไม่แนะนำให้ฉีดในเด็กอายุน้อยกว่า 9 ปี โดยเป็นวัคซีนสำหรับป้องกันโรคไข้เลือดออกจากไวรัสเดงกี่เท่านั้น จากการวิจัยพบว่าสามารถป้องกันโรคได้ถึง 70% ซึ่งถ้าร่างกายของผู้รับการฉีดวัคซีนเคยมีการติดเชื้อไวรัสเดงกี่อยู่แล้ว ก็จะเป็นการเสริมภูมิป้องกันได้ดียิ่งขึ้น โดยคนไทยไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปตรวจเช็คก่อนฉีดวัคซีน เนื่องจากประเทศไทยมีไข้เลือดออกระบาดเกือบทุกปี ดังนั้นผู้ที่มีอายุเกิน 9 ปี สามารถฉีดวัคซีนได้ตามคำแนะนำของแพทย์ โดยสรุปวัคซีนไข้เลือดออกมีประสิทธิภาพที่ดีและปลอดภัย จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับพ่อแม่หรือบุคคลทั่วไปที่จะฉีดเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออก ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันโรคไข้เลือดอออกหรือ การเสริมเกราะคุ้มกันที่ 2 คือ การช่วยกันกำจัดทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย เช่น แหล่งน้ำขังในบ้าน การป้องกันตัวเองและบุตรหลานไม่ให้ยุงกัดด้วยการนอนในมุ้ง ทายากันยุง ยังเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ การเสริมเกราะคุ้มกันที่ 3 คือการไปพบแพทย์เมื่อป่วย เป็นไข้ ควรติดตามอาการ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะไข้เลือดออกที่เป็นมากจะมีโอกาสเกิดภาวะช็อกเมื่อไข้เริ่มลด พ่อแม่ผู้ปกครองจึงไม่ควรประมาท ควรติดตามอาการอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย ซึม รับประทานอาหารไม่ได้ อาเจียน ปวดท้อง ถ้ามีอาการดังกล่าวแม้ว่าไข้เริ่มจะลดลงแล้วก็ควรต้องไปพบแพทย์ .. สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเด็กหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก สามารถดูรายละเอียดที่ www.childrenhospital.go.th * 9 อาการเสี่ยงที่ไม่ควรประมาท * 1. ไข้ลงหรือไข้ลดลงแต่ยังเบื่ออาหาร ไม่ค่อยเล่น และอ่อนเพลีย 2. คลื่นไส้ อาเจียน ตลอดเวลา 3. ปวดท้องมาก 4. มีเลือดออกมาก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ 5. พฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไปจากปกติ 6. กระหายน้ำตลอดเวลา 7. ร้องกวนมากในเด็กเล็ก 8. ตัวเย็นชื้น สีผิวคล้ำลง หรือตัวเป็นลายๆ 9. ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ถ่ายปัสสาวะนานเกิน 4-5 ชั่วโมง - ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ได้ที่ : [email protected]