เรื่องที่ใหญ่ที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ภาคการเกษตรของไทย ความขัดแย้งลุกลามขยายวงกว้าง กระทบไปยังประชาชนหลายกลุ่ม หลายองค์กร หลายหน่วยงาน และที่สำคัญที่สุดอาจกระทบกับรัฐบาลทั้งแง่บวกและลบ เมื่อของขวัญปีใหม่คือ การยกเลิกใช้ พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส แต่อาจเป็นการทำลายโครงสร้างปัจจัยการผลิต สร้างความหายนะต่ออาชีพเกษตรกรไทย และอุตสาหกรรมเกษตร นายเชิดชัย จิณะแสน เกษตรกรต้นแบบ ประธานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรระดับประเทศ และคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการจำกัดการใช้สารเคมีทางการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อธิบายว่า สารเคมีทั้งสามชนิดใช้ในประเทศไทยมาประมาณ 50 ปีที่แล้ว โดยไม่เสียภาษีนำเข้า เพราะต้องการลดราคาต้นทุนช่วยเหลือเกษตรกร และทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางการเกษตรระดับต้นของโลก มีมูลค่าการส่งออกสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีการใช้สารเคมีเข้ามาเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ดั้งนั้นเกษตรกรจึงจำเป็นต้องใช้เป็นปัจจัยการผลิตและลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร ทั้งนี้สภาพภูมิอากาศของไทยง่ายต่อการเกิดโรค แมลง และวัชพืช ประกอบกับระบบชลประทานไม่ทั่วถึงและไม่เพียงพอ โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน เดิมเกษตรกรต้องเผาหญ้าหรือวัชพืชก่อนทำเกษตร และใช้สารเคมีเกษตรเพื่อควบคุมวัชพืชนอกเขตพื้นที่ชลประทาน และเมื่อทางการสั่งงดการเผา เกษตรกรจึงต้องใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืช และหากห้ามเผาหญ้าและห้ามใช้สารเคมี เกษตรกรจะทำเช่นไร โดยขอเสนอแนะทางออกเพื่อลดความขัดแย้งของ 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ต้องการให้แบน และกลุ่มที่ต้องการให้ใช้ 1.ให้ใช้มาตรการการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด ตามประกาศของกระทรวงเกษตรฯจะมีผลบังคับใช้ 20ต.ค.นี้ ซึ่งเนื้อหาครอบคลุมทุกประเด็นไว้อย่างดี 2.เมื่อมีสารเคมีชนิดใหม่ที่มีขีดความสามารถ ทั้งคุณสมบัติ,ราคา,ความปลอดภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม และประสิทธิภาพเท่าเทียมหรือดีกว่าสารตัวเดิมจึงค่อยยกเลิกสารทั้ง 3 ชนิดให้โอกาสเกษตรกรปรับตัว เพื่อลดความขัดแย้ง หน่วยงานราชการต้องรับรองวิธีการทดแทน ไม่กระทบเกษตรกรทั้งทางตรงและทางอ้อม 3.เกษตรกรต้องต่อสู้กับโรคระบาด ภัยแล้ง,น้ำท่วม และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หากยกเลิกใช้โดยไม่มีสิ่งทดแทนให้กับเกษตรกรแล้วจะเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ยากให้แก่เกษตรกร สร้างความเสียหายต่อการผลิตสินค้าเกษตร กระทบการส่งออก และทำให้ GDP ภาคการเกษตรและภาพรวมของสินค้าทั่วประเทศลดลง 4.การทำเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องที่ดีที่สุด รัฐบาลควรส่งเสริมให้มากที่สุด เช่นให้โรงพยาบาล สถานศึกษา โรงแรมร้านอาหารภัตตาคาร และหน่วยงานต่างๆช่วยรับซื้อสินค้าอินทรีย์ ประกันรายได้ มีการอุดหนุนเงินหรือปัจจัยอื่นให้เกษตรกรผู้ทำอินทรีย์ แต่เกษตรกรไทยไม่สามารถทำอินทรีย์ทั้งประเทศได้ ควรให้โอกาสตามขีดความสามารถ และตามพื้นที่ชนิดของสินค้าเกษตรที่จำเป็นต้องใช้เคมีหรือระบบ GAP “ผมทำเกษตรอินทรีย์มา 18 ปี ผมเห็นด้วยกับรัฐบาลในการพยายามให้เกษตรกรทำเกษตรอินทรีย์ให้มากที่สุด เพื่อนำไปสู่การลดสารเคมี แต่ไม่ควรนำประเด็นที่ว่าให้ประเทศไทยเป็นอินทรีย์ทั้งหมด โดยจะต้องยกเลิกสารเคมีทางการเกษตร ซึ่งยังเป็นสิ่งที่ต้องการควบคู่ไปกับการทำเกษตรเคมี และเกษตรปลอดภัย หรือ GAP” นายกิตติ จันทวิสูตร เกษตรกรชาวสวนจันทบุรีกล่าวว่า ถ้าจะเลือกแบน ควรแบนคลอร์ไพริฟอส ที่เป็นสารจำกัดแมลง เกษตรกรรับได้ เพราะมีสารตัวอื่นทดแทนมากมาย แต่ถ้ามีการแบนพาราควอตและไกลโฟเซต เกษตรกรจะเดือดร้อนอย่างมาก เพราะไม่มีสารใดมาทดแทนช่วยในการกำจัดวัชพืชได้ดี แม้ว่าจะมีสารกลูโฟซิเนต แต่ก็มีราคาแพงกว่ามากและประสิทธิภาพสู้สารทั้งสองตัวไม่ได้ นอกจากนี้สารกำจัดวัชพืชทั้ง 2 สาร ถ้าอันตรายจริงตามการปั่นกระแสของเอ็นจีโอ เกษตรกรคงตายกันไปก่อนหน้า เพราะสารทั้ง 2 เกษตรกรใช้กันมาร่วม 40-50 ปีแล้ว วิธีการที่เหมาะสมที่สุดคือ มาตราการควบคุมการใช้ตามมติก่อนหน้านั้นในฤดูกาลหนึ่งๆ เฉพาะจังหวัดจันทบุรี มีการส่งผลไม้ทั้งทุเรียน มังคุด ลำไย กล้วยไข่ รวมกันไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท “อาวุธปืนเป็นสิ่งที่ใช้ฆ่ากันได้ ในแต่ละปีมีคนตายจากอาวุธปืนจำนวนมาก แต่รัฐไม่ได้แบนอาวุธปืน ยังอนุญาติให้พลเมืองสามารถครอบครองอาวุธปืน และพกพาได้ โดยการขออนุญาตจากรัฐ เหล้า บุหรี่ เป็นสารเสพติด มีคนตายแต่ละปีจากสิ่งนี้จำนวนมาก แต่รัฐเพียงควบคุมการดื่มและสูบไม่ได้แบน น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ดื่มมากก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพ รัฐปล่อยให้จำหน่ายได้อย่างเสรี” ทั้งนี้นายกฯต้องคิดอย่างรอบครอบการจะดำเนินการนโยบายใด จะต้องไม่ทำให้คนอีกกลุ่มเดือดร้อน ถ้ามีการแบนสารกำจัดวัชพืช 2 สาร กลุ่มคนที่เดือดร้อนมากจะเป็นเกษตรกร อย่าลืมว่าเกษตรกรต่างมี 1 เสียงเท่ากับพวกเอ็นจีโอ ท่านจะแน่ใจได้อย่างไร ถ้าท่านเลือกข้างเอ็นจีโอแล้ว เขาจะเลือกท่าน