รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Jessada Denduangboripant” กรณีฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งสภาพอากาศที่จะเริ่มเย็นลงจะยิ่งมีผลทำให้สภาพอากาศในกทม.เลวร้ายขึ้น โดยระบุ "คำแนะนำต่อผู้ว่า กทม. ในการเตรียมรับมือวิกฤติฝุ่น PM2.5 ปลายปีนี้ 1. ใช้สื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆของ กทม. ในการให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายจากฝุ่น PM2.5 แต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะกับเด็กนักเรียนในโรงเรียนของ กทม. เพื่อให้เด็กๆ และครอบครัวได้เตรียมตัวรับมือ 2. จัดเตรียมหน้ากากสำหรับกันฝุ่น แจกให้กับประชาชนที่มาติดต่อตามหน่วยงานของ กทม. รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ของ กทม. ใส่หน้ากากด้วย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่กวาดขยะ ที่ต้องทำงานริมถนนทุกวัน 3. ปรับเปลี่ยนเวลาทำงานของหน่วยงานต่างๆของ กทม. ให้เหลื่อมเวลากัน เช่น หน่วยงานที่เป็นหน่วยบริการประชาชน อาจจะเปิด 8 โมงเช้า แต่โรงเรียนในสังกัด กทม. อาจจะเลื่อนไปเป็นเข้าเรียนตอน 9 โมงแทน จะได้ลดความแออัดคับคั่งบนท้องถนนของรถยนต์ 4. การฉีดพ่นน้ำขึ้นฟ้านั้น ไม่อาจช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีขนาดของละอองน้ำที่ใหญ่เกินไป และฉีดได้ไม่ทั่วถึง สิ่งที่ควรทำมากกว่า คือ การฉีดน้ำล้างถนนทุกวัน ในเส้นที่มีการคมนาคมหนาแน่น เพื่อล้างฝุ่นออกไปจากพื้นถนน ก่อนที่จะลอยขึ้นฟ้าเมื่อถูกความร้อนเผา 5. ควบคุมการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ให้มีการปิดให้มิดชิดมากขึ้น ไม่ให้ฝุ่นละอองออกมาโดยง่าย และเร่งระบายรถในบริเวณดังกล่าว ไม่ให้การจราจรติดขัด 6. เอาจริงเอาจังกับการใช้ยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า โดย กทม. ลงทุนปรับเปลี่ยนรถยนต์ รถบรรทุก รถขนส่ง มอเตอร์ไซค์ ในสังกัดของ กทม. ไปเป็นระบบอีวี ทั้งหมด และติดตั้งสถานีชาร์จไฟตามหน่วยงานต่างๆ 7. จัดทำรถขนส่งสาธารณะของ กทม. แบบชั่วคราว มาเสริมกับของ ขสมก. ในช่วงนี้ ให้วิ่งในเส้นทางที่ทับซ้อนกับของ ขสมก. น้อย และไปให้ทั่วถึงกรุงเทพฯ ให้มากที่สุด โดยให้ประชาชนขึ้นได้ฟรีหรือในราคาถูกเป็นเวลาชั่วคราว 8. มาตรการระยะยาว ที่อาจส่งผลกระทบสูงต่อประชาชน ได้แก่ การจำกัดจำนวนของรถบรรทุกรถขนส่งเข้ามาในกรุงเทพฯ / การปรับระบบไฟจราจรให้การเคลื่อนตัวของรถรวดเร็วมากขึ้น / การขึ้นภาษีรถยนต์ที่จดทะเบียนกรุงเทพมหานคร / เก็บค่าผ่านทางเมื่อเข้าสู่กรุงเทพฯชั้นไหน ฯลฯ" ขอบคุณเรื่อง-ภาพจากเพจ “Jessada Denduangboripant"