นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พบกับ กลุ่มผู้ประกอบการเปิดใหม่ทางด้านเทคโนโลยีหรือสตาร์ทอัพ ประสานงานโดยนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย ประกอบด้วย ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม นายกสมาคมสตาร์ทอัพประเทศไทย นายเรืองโรจน์ พูนผล อดีตนายกสมาคมฯ เป็นการเข้าพบหารือเพื่อหาแนวทางแก้ไขอุปสรรคปัญหาและแนวทางในการสนับสนุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพ รายงานระบุว่า ผู้แทนจากกลุ่มสตาร์ทอัพที่เข้าพบนายจุรินทร์ในครั้งนี้ มาจากหลากหลายอุตสาหกรรม จัดเป็นกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและมีรูปแบบในการดำเนินธุรกิจที่ตอบโจทย์เทรนด์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน อาทิ ธุรกิจพัฒนาด้านการลงทุนสำหรับคนวัยเกษียณ ธุรกิจที่ช่วยพัฒนาและต่อยอดการทำธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ธุรกิจที่ทำด้านการพัฒนาท่องเที่ยวชุมชน ธุรกิจที่ทำด้าน Big Data ของภาคเกษตร กลุ่มธุรกิจที่ทำด้านลิขสิทธิ์ที่มาจากสมาคม Creative Licensing ธุรกิจที่ทำด้าน Sharing Economy ธุรกิจที่ทำด้านโซลูชั่นส์ของระบบบัญชีสำหรับเอสเอ็มอี เป็นต้น นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ในการพูดคุยพบว่าปัญหาที่สำคัญของกลุ่มสตาร์ทอัพของคนไทย ที่เป็นปัญหาร่วมกันในการดำเนินธุรกิจคือในการขยายธุรกิจให้เติบโต (Scaling Up) ที่ยังมีอุปสรรคอยู่มากโดยเฉพาะประเด็นทางด้านกฏหมายที่ไม่เอื้อในการประกอบธุรกิจ รวมถึงการสนับสนุนทางด้านเงินทุนจากธนาคารหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีอุปสรรคเรื่องความล่าช้าในการได้รับเงินทุนในการดำเนินกิจการ ทั้งนี้การดำเนินธุรกิจของกลุ่มสตาร์ทอัพจะมีผู้เกี่ยวข้องที่สำคัญอยู่ 4 ภาคส่วนคือนักลงทุน ลูกค้า ภาครัฐ และกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ที่จะสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพ โดยปัญหาที่ผ่านมาของภาครัฐคือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างที่มักจะพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการขึ้นเองมาแข่งขันกับภาคเอกชนโดยจัดจ้างผู้ประกอบการเพียงรายใดรายหนึ่งและบังคับให้ทุกหน่วยงานใช้ซึ่งเป็นการปิดโอกาสทางการแข่งขันสำหรับผู้ประกอบการรายอื่น ผลที่จะตามมาคือทำให้ได้บริการที่ไม่ตอบโจทย์การใช้งานจริง และส่งผลให้กลุ่มสตาร์ทอัพรายเล็กไม่สามารถแข่งขันได้และอยู่ไม่รอดในที่สุด ส่วนทางด้านองค์กรขนาดใหญ่ที่จะสนับสนุนปัญหาที่พบคือองค์กรขนาดใหญ่ยังขาดความเชื่อมั่นในธุรกิจสตาร์ทอัพ เนื่องจากธุรกิจยังมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจจากสภาวการณ์แข่งขันในปัจจุบันโดยเฉพาะการมีคู่แข่งที่เป็นผู้ประกอบการจากต่างประเทศที่มีทั้งเงินทุนในการเข้ามาทุ่มตลาดและศักยภาพในการแข่งขันกับผู้ประกอบการในประเทศภายใต้ยุคโลกาภิวัฒน์ที่ใช้ออนไลน์เป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญ ทั้งนี้ปัญหาที่สำคัญที่กลุ่มสตาร์ทกำลังเผชิญคือเรื่องของการบังคับใช้กฏหมาย ที่มีความไม่เท่าเทียมกันระหว่างสตาร์ทอัพไทย กับสตาร์ทอัพจากต่างประเทศ การใช้เงินทุ่มตลาดจากผู้ประกอบการสตาร์ทอัพจากต่างประเทศ โดยข้อติดขัดทางด้านกฏหมายหลายข้อทางสมาคม ฯ เคยเสนอมานานแล้วแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้นายจุรินทร์ มีความตั้งใจที่จะให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ เพื่อช่วยให้อยู่รอด แข่งขันกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศได้ โดยได้ให้ความสนใจในการรับฟังปัญหาและขอให้ตัวแทนกลุ่มสตาร์ทอัพไปสรุปประเด็นที่จะให้ภาครัฐช่วยดำเนินการแก้ไขมาในเบื้องต้น และจะให้มีการนัดหมายหารือกันอีกครั้งเพื่อพูดคุยกันในรายละเอียด