เป็นช่วงเวลาในระยะสั้นๆ สำหรับรัฐบาลของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ต้อง “รับมือ” กับปฏิบัติการไล่บี้ของ “7 พรรคฝ่ายค้าน” ทั้งในและนอกเวทีสภาผู้แทนราษฎร จนทำให้ตัวพล.อ.ประยุทธ์ เปรยออกมาหลายต่อหลายครั้งว่าฝ่ายค้านจ้องแต่จะล้มรัฐบาล ทั้งที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งมาทำหน้าที่ “ฝ่ายบริหาร” ได้ยังไม่ทันครึ่งปีเสียด้วยซ้ำ! เมื่อเวทีสภาผู้แทนราษฎร กลายเป็นเหมือน “สนามรบ” เพราะ “7 พรรคฝ่ายค้าน” ผนึกกำลังกันเหนียวแน่น ใช้ทุกนัดของการประชุมสภาฯ เพื่อหวัง “ชำแหละ” รัฐบาล ไล่เรียงตั้งแต่วันแถลงนโยบายรัฐบาล จนมาถึงการใช้ “คณะกรรมาธิการ” ที่มีอยู่ในมือทุกคณะ “ย้อนศร” ตรวจสอบ “กลไก”ของรัฐบาลที่ฝ่ายค้านเชื่อว่าเป็นเครื่องมือในการจัดการพวกตนเอง จนมาล่าสุด ฝ่ายค้านเตรียมลับดาบ ด้วยจัดการเตรียม “ขุนพล” เอาไว้ชำแหละ “ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563” ในกรอบวงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท โดยดีเดย์วันเปิดประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ 17 -18 ต.ค.นี้ โดยเฉพาะจังหวะที่คาดหวังว่ากฎหมายการเงินฉบับแรกของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ถึงขั้นไม่ผ่านการพิจารณาในสภาผู้แทนฯ ด้วยแพ้เสียงโหวต จนกลายเป็นเงื่อนไขที่บีบให้ รัฐบาลต้องจำใจเลือก 2 ทางออก คือ 1.ลาออก และ2.คือยุบสภาฯ อย่างไรก็ดี แม้ฝ่ายค้านจะรู้ดีว่า นาทีนี้ พรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ “ประธานยุทธศาสตร์” ของพรรค กำลังหาทาง “กำจัดจุดอ่อน” ในเรื่อง “เสียงปริ่มน้ำ” ด้วยการเปิดการเจรจาเพื่อเช็คเสียง ทั้งกับ “พรรคเล็ก-พรรคจิ๋ว” ไปจนถึงการส่ง “มือดี” ไปต่อสายกับ “ส.ส.” ฝั่งตรงข้าม จนเกิดเป็นข่าวสะพัดมาแล้วว่า ขอให้จับตา “งูเห่า” จากซีกฝ่ายค้านกันให้ดีๆ ว่าอาจจะมีมากกว่า 20 เสียง ที่ทั้งยกมือโหวตหนุน ร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2563 จนผ่านฉลุย ไม่เช่นนั้น พล.อ.ประวิตร คงไม่มั่นใจ ถึงขนาดท้าเดิมพันกับสื่อว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ ผ่านสภาฯแน่ ! หมายความว่า ภารกิจของพรรคฝ่ายค้านในการชำแหละงบประมาณ 2563 นั้นอาจดำเนินไปในลักษณะที่ว่า รบไป ระวังหลังไปหรือไม่ ? เพราะขณะที่ “แม่ทัพ” ระดับแกนนำ อภิปรายงบประมาณกันอยู่เบื้องหน้า ฉากหลังกลับกลายเป็นว่า “ไพร่พล” กลับไม่เอาด้วย แต่ปันใจไปให้กับฝ่ายรัฐบาล อย่างไรก็ดี เป้าหมายการเคลื่อนไหวของพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะสองพรรคใหญ่ ทั้งพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ กำลังมองไปยังจุดที่มีความสำคัญ มากกว่าที่จะมุ่งโจมตี ไปยัง รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ เพียงทางเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ หลายเหตการณ์กำลัง “เข้าทาง” ของฝ่ายค้านเสียด้วย โดยเฉพาะการใช้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อหวังตรวจสอบ “กระบวนการยุติธรรม” อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรณี “คณากร เพียรชนะ” ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลชั้นต้น ใช้ปืนยิงตัวเอง โดยอ้างว่าถูกแทรกแซงการพิจารณาคดี แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตามมาคือการที่พรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค ถูกตั้งคำถามว่า เหตุใด จึงอ้างว่า ได้รับเอกสาร ข้อมูลเรื่องคำพิพากษาจากคณากร ทั้งที่เป็นเรื่องภายในของการพิจารณาในชั้นศาล นอกจากนี้พรรคอนาคตใหม่ ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่า กำลังเปิดเกมรุกไปยัง “กระบวนการยุติธรรม” ด้วยความจงใจหรือไม่เพื่อรองรับกับคดีความของแกนนำและพรรค ที่พัวพันอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญด้วยกันอีกหลายคดี อย่างไรก็ดี การเล่นเกมแรงของพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่เองนั้นก็กำลังถูกสกัดจาก “แกนนำพรรคพลังประชารัฐ” ที่ใช้ทุกช่องทางเพื่อทุกประตูเช่นกัน ทั้งการเข้าชื่อเพื่อยื่นเรื่องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยสมาชิกภาพของ “6แกนนำพรรคฝ่ายค้าน” ที่พากันไปจัดเวทีสัมมนาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีนักวิชาการเสนอแนวคิดเรื่องการแก้ไขมาตรา 1 เท่ากับว่าเวลานี้ ศึกนอกสภาฯ ที่ฝ่ายค้านเปิดเกมเคลื่อนไหวเดินสายเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่หลุดประเด็นมาตรา 1 จนทำให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาทำผิดมาตรา 116 ผนวกเข้ากับการใช้ประเด็นผู้พิพากษายะลา พยายามฆ่าตัวตาย แล้วขยับเข้าไปตรวจสอบ “กระบวนการยุติธรรม” อาจกลายเป็นความจงใจที่ต้องเร่งเล่นเกมแรง โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่เอง แต่ปัญหาที่เชื่อมโยงทับซ้อนไปมากกว่านั้น คือการที่พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคใหญ่ กำลัง “เดินตาม” ในสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ถือธงนำ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยเองก็ตกอยู่ในสภาพ “ระส่ำ” วุ่นวาย ใกล้แตกหักกันอยู่ในที เมื่อแต่ละกลุ่มอำนาจ ต่างไม่มีใครยอมขึ้นต่อกัน ทำไปทำมา การเสี่ยงโดดลงไปเล่นเกมแรง ที่เต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยงของพรรคอนาคตใหม่ที่พ่วงเอา พรรคเพื่อไทย ให้เดินตามหลังเช่นนี้ จะเสียกันทั้งขบวน !