คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ในขณะนี้ขบวนการถอดถอน “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ออกจากตำแหน่งกำลังทวีความเข้มข้นมากขึ้นทุกทีๆ เริ่มต้นขึ้นโดย “ประธานสภาผู้แทนราษฎร แนนซี เพโลซี” ได้ออกมาประกาศดำเนินกระบวนการถอดถอนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันอังคารที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมานี้ นับเป็นประเด็นร้อนแบบสุดๆในรอบปี ทั้งนี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร แนนซี เพโลซี่ ได้พยายามยับยั้งชั่งใจต่อแรงกดดันของบรรดานักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครต ที่พวกเขาออกมาผลักดันให้เธอประกาศกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์มาเป็นเวลาอันยาวนาน แต่เธอก็กัดฟันอดทนรอจนได้จังหวะที่เธอมีหลักฐานบ่งชี้ที่ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามกดดัน ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ รองประธานาธิบดีโจ ไบเดน สังกัดพรรคเดโมแครต ที่อาจจะเข้ามาเป็นคู่แข่งขันสำคัญของเขา เพื่อหวังจะใช้ใส่ร้ายป้ายสีในทางลบ” อีกทั้งประธานสภาผู้แทนฯ แนนซี่ เพโลซี ยังพบอีกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่อรอง โดยตั้งเงื่อนไขกับประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีว่า หากเขาไม่ดำเนินการตรวจสอบโจ ไบเดน แล้วละก็ สหรัฐอเมริกาจะไม่ปล่อยเงินช่วยเหลือ 391 ล้านเหรียญ ที่สภาคองเกรสได้อนุมัติไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามการที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรเพโลซีตัดสินใจออกมาประกาศดำเนินการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อวันที่ 24 กันยายนนี้ นับว่าเป็นการเสี่ยงไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะขณะนั้นเธอยังไม่แน่ใจเลยว่า คนอเมริกันจะมีความเห็นพ้องด้วยหรือไม่? แต่ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่เพิ่งผ่านมานี้โพลของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้ระบุว่า คนอเมริกันเห็นชอบต่อกระบวนการถอดถอนพุ่งสูงเพิ่มขึ้นถึง 58% โดยครั้งแรกของการประกาศกระบวนการถอดถอนเมื่อสามสัปดาห์ก่อนนั้น มีผู้ที่เห็นด้วยเพียง 37% และผู้ที่คัดค้านมีถึง 41% ขณะนี้คนอเมริกันกำลังมีความคิดเห็นแตกออกเป็นสองฝักสองฝ่ายดังจะเห็นได้จากสำนักโพลของ Monmouth University ที่ออกมาเปิดเผยว่า สมาชิกค่ายพรรครีพับลิกันยังคงให้การสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์มากถึง 86% แต่ในทางกลับกันสมาชิกของค่ายพรรคเดโมแครตก็ออกมาสนับสนุนให้มีการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง มากถึง 90% ด้วยเช่นกัน กระนั้นก็ตามจากการสำรวจของสำนักหยั่งเสียงหนังสือพิมพ์ ยูเอสเอ ทูเดย์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมนี้ว่า สมาชิกของพรรครีพับลิกันกว่า 30% มีความคิดเห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ละเมิดอำนาจหน้าที่ในการกดดันให้ประธานาธิบดียูเครนทำการตรวจสอบธุรกรรมของโจ ไบเดนและบุตรชาย จะเห็นได้ว่าเท่าที่ผ่านมาประวัติศาสตร์ด้านการเมืองของสหรัฐอเมริกา ยังไม่เคยมีครั้งใดเลยที่การแตกแยกจะมีความรุนแรงเหมือนดั่งเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้!!! และก็ยังไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯที่ประธานาธิบดีได้กดดันให้ต่างชาติเข้าไปแทรกแซงการเมืองในประเทศ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังคงไม่แสดงอาการสะทกสะท้านกล้าที่จะออกมาเอ่ยปากอีกว่า “ข้าพเจ้ายินดีที่จะขอความช่วยเหลือจากต่างชาติ” อนึ่งขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพยายามดิ้นและขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้คณะกรรมการข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบในเรื่องนี้ โดยล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ออกคำสั่งต่อเอกอัครราชทูตกอร์ดอน ซอนแลนด์ ไม่ให้เดินทางไปให้การต่อคณะกรรมการข่าวกรอง ดูแล้วประหนึ่งว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังปกปิดอะไรที่เก็บซุกซ่อนเอาไว้ในกอไผ่!!! แถมประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ออกมาให้สัมภาษณ์ข่มขู่อีกด้วยว่า “หากเขาถูกถอนถอนเมื่อใด เมื่อนั้นสหรัฐฯจะเกิดสงครามกลางเมือง” ขณะนี้ถึงแม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะพยายามงัดเอากลเม็ดและเล่ห์เหลี่ยมต่างๆออกมาใช้ก็ตาม แต่กลับปรากฎว่า มีนักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันเดียวกันกับเขาหลายๆคนออกมากล่าวตำหนิวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์มากขึ้นเรื่อยๆ อาทิ “วุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์” จากรัฐยูทาห์ อดีตตัวแทนของพรรครีพับลิกันในการแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อปี 2012 ที่ขณะนี้เขาได้กลายเป็นหัวหอกคนสำคัญในการวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์แบบไม่มีใครกล้าออกมาคัดค้าน โดยเมื่อวันศุกร์ที่แล้ววุฒิสมาชิกรอมนีย์ได้ชี้ว่า การที่ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามให้ยูเครนและจีนเข้ามาแทรกแซงการเมืองของสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่ง จะเห็นได้ว่าวุฒิสมาชิกรอมนีย์เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์อย่างรุนแรงก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเข้าสู่ทำเนียบขาวด้วยซ้ำไป โดยเขาได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่มีความเหมาะสมในการเป็นผู้นำของสหรัฐอเมริกา” โดยมี “วุฒิสมาชิกเบน แซส” นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลของพรรครีพับลิกัน จากรัฐเนบราสก้า และ “วุฒิสมาชิกซูซาน คอนลิน”จากรัฐเมนท์ ได้ออกมาสนับสนุนในท่าทีของวุฒิสมาชิกรอมนีย์ครั้งนี้ว่า “การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยินยอมปล่อยให้ต่างชาติเข้าแทรกแซงการเมืองของสหรัฐฯนั้น ไม่เป็นการเหมาะสมอย่างยิ่ง” เท่ากับว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการหวังจะใช้เล่ห์เหลี่ยมในวาระที่สอง เหมือนดั่งเมื่อครั้งที่เขาใช้ให้รัสเซียเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้ง เพื่อเอื้ออำนวยให้เขาได้รับเลือกในตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 ทั้งนี้อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ได้ออกมาตอบโต้วิพากษ์จารณ์ต่อประธานาธิบดีทรัมป์อย่างรุนแรงว่า อะไรก็ตามที่ออกมาจากปากของประธานาธิบดีทรัมป์ล้วนแล้วแต่โกหกทั้งสิ้น เพราะเป็นคนขี้โกหก และยังเป็นคนวิปริตอีกด้วย!!! อย่างไรก็ตามเมื่อสองสัปดาห์ก่อนได้มีผู้ออกมาแจ้งข้อมูลลับให้แก่ทางการหนึ่งท่าน โดยผู้นั้นไม่ประสงค์จะออกนามหรือที่เรียกกันว่า “Whistleblower” จึงเป็นที่มาทำให้ประธานสภาราษฎร แนนซี เพโลซี่ ออกมาประกาศดำเนินกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างเป็นทางการนั่นเอง และขณะนี้ปรากฏว่าได้มีผู้ออกมาให้ข้อมูลลับเป็นคนที่สอง โดยบุคคลท่านนี้มีข้อมูลอย่างครบครันที่โยงใยว่า "เป็นความจริงที่ประธานาธิบดีทรัมป์กดดันให้ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ตรวจสอบพฤติกรรมของ โจ ไบเดนและบุตรชาย ในยูเครน " และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้หนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานว่า อดีตเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงปลอดภัยทั้งจากพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตจำนวน 90 คนได้ออกมาสนับสนุนให้มีการปกป้องผู้เปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับยูเครนในครั้งนี้อีกด้วย อย่างไรก็ดีในเรื่องนี้แทนที่จะทำให้คะแนนของโจ ไบเดน ตกต่ำลง แต่กลับปรากฎว่า คะแนนของเขายังคงนำหน้าเหนือประธานาธิบดีทรัมป์อยู่เกือบ 7% กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นวุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์ นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลเสาหลักใหญ่คนหนึ่งของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเขาได้รับความนิยมชมชอบจากประชากรในรัฐยูทาห์ถึง 90% และยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วสหรัฐฯด้านความซื่อสัตย์สุจริต มีจริยธรรมสูง ไม่ค่อยมีแผลเสียหายทางการเมือง และยังเป็นนักการเมืองที่ประธานาธิบดีทรัมป์เกรงกลัวที่สุด โดยวุฒิสมาชิกรอมนีย์ผู้นี้น่าจะเป็นตัวแปรคนสำคัญในการที่จะทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาหรือไม่ละครับ