อินทิรา เจริญปุระ หรือ 'ทราย'ดาราสาว โพสต์ภาพคุณแม่สุภาภรณ์ เจริญปุระ พร้อมข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ Inthira Charoenpura ระบุว่า...
วันนี้โมโม่แอบวิ่งเข้าไปในห้องคุณแม่ช่วงที่กำลังชุลมุนกัน กว่าจะรู้ว่าแมวหายก็ตอนเกือบจะไปหาแม่อีกรอบที่วัดนั่นล่ะ ทรายเดินหาโมโม่ เห็นนอนสบายอยู่บนที่นอนแม่ เลยไปอุ้มออกมาบอกว่าโมโม่ต้องเป็นเด็กดีนะลูก วันนี้แม่ไม่อยู่ แม่ไปหาคุณยายที่วัด จริงๆทรายกลัวมาตลอดนะ ว่าจะเป็นคนตายก่อนแม่ กลัวไม่ได้ทำศพให้อย่างที่แม่ได้สั่งเอาไว้ กลัวคนอื่นจะไม่รู้ใจแม่เท่าทราย แต่จริงๆมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่อธิบายให้ใครเข้าใจได้ยากเท่านั้นเอง “อย่าให้คนเห็นชั้นไม่สวย” แม่ย้ำเรื่องนี้เสมอ บ้านเราพูดถึงความตายกันเป็นปกติ แม่เลือกรูปหน้าศพด้วยตัวเอง เอาไปอัดใส่กรอบอย่างดี แล้วบอกลูกทุกคนว่าต้องใช้รูปนี้นะ “ไม่งั้นชั้นจะมาหลอก” เรื่องระหว่างเราสองคนมันเยอะมาก เยอะจนถ้าทรายนั่งคิดย้อนวันละเรื่อง ก็คงมีอะไรให้คิดเหลือเฟือไปจนกว่าทรายจะตาย เพราะทรายเป็นลูกคนแรกของแม่ เป็นลูกสาวแบบที่แม่ตั้งใจไว้ อะไรๆระหว่างเรามันไม่ได้ง่าย ภาพแรกๆของแม่ที่ทรายจำได้คือแม่ร้องไห้บ้าง รอหมอบ้าง หรือโดนจับอาบน้ำมนตร์กลางแจ้งหน้าบ้านเราตามใจยาย ก่อนจะไปกินยา ทรายยังจำความรู้สึกกลั้นหายใจตอนรอตำรวจเดินมาหา เพราะแม่เล่นจอดรถตรงแยกบางพลัดแล้วไม่ขับต่อทั้งที่ไฟเขียวขึ้นนานแล้ว “พี่ทรายหมุนกระจกบอกตำรวจ บอกแม่ไม่สบาย เดี๋ยวเค้าจะมาเอารถไป อย่าเปิดประตูลงไปนะ” แม่สั่งทั้งที่หลับตา แต่พอตำรวจเดินมาเคาะกระจกจริงๆ แม่ก็ขับรถต่อได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “คุณแม่ไหวมั้ย” ฉันถาม “ไหวมั้ย?” นี่ดูจะเป็นคำถามที่อยู่คู่ความสัมพันธ์ของเรา มีทั้งคุณแม่ถามทราย ทรายถามคุณแม่ และเราถามกันเอง แต่ละครั้งที่ถามก็อยู่ในอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่เราก็จะไหวกันทั้งคู่แหละ แม้ว่าในใจจะเป็นอย่างอื่นก็ตาม 2-3เดือนนี้เป็นเดือนที่ยากมากๆสำหรับทราย มันไม่ชินที่ไม่มีกองนะคุณแม่ แต่ก่อนทรายก็งงว่าคุณแม่จะเครียดอะไรนักหนา หน้าฝนไม่ต้องออกกองนี่ดีจะตาย ทรายได้นอนอ่านหนังสือ หรือไปงานแบบที่ถ้าแม่รู้ แม่ก็จะบอกว่าไม่เห็นจะได้ประโยชน์หลายงาน แต่พอต้องมาถือคิวตัวเอง ทำเรื่องรายรับรายจ่ายตัวเอง ทรายก็อยากจะหัวเราะ ว่าเอาเข้าจริงทรายเครียดกว่าคุณแม่เสียอีกเวลาไม่มีงาน ต้องลุกขึ้นมารื้อข้าวของ ทำอะไรๆให้พอบอกกับตัวเองได้ว่าฉันมีงานทำ ว่างๆอยู่หลายวันจนมีคนโทรมานัดถ่ายรายการวันจันทร์นี่ล่ะ โอ้โห พี่ทรายแทบจะลุกขึ้นมารำ ในหัวนี่ไม่เห็นค่าตัวเป็นเงินเลย เห็นเป็นผ้าอ้อมแม่กับเงินเดือนพี่เพ็ญ กับเสียงเครื่องอบผ้าที่จะได้ทำงานอย่างราบรื่น หลังๆมานี่เราใช้งานมันสนั่นแบบที่ถ้าแม่เห็นคงกรี๊ด แล้วออกไปซื้อมาเพิ่มอีกเครื่องทันที เพราะแม่ไม่ชอบรอ แถมไม่ชอบให้อะไรๆไม่เป็นอย่างใจ จะมาปั่นๆอบๆกันทีละผืนสองผืนทั้งวันมันเปลืองไฟ ชั้นซื้อสองเครื่องให้มันช่วยกันทำดีกว่า ไหนๆก็จ่ายแล้ว ชั้นจะได้ไม่ต้องมารอต่อคิวเครื่องอบ ตรรกะแม่จะงงๆอยู่แบบนี้เสมอ แต่ทรายก็ไม่ได้ว่าอะไร แม่อยากใช้เงินทำอะไรก็ใช้ไปเหอะ และถ้าแม่รู้ว่าที่อบผ้ากันทุกวัน ทุกผืน เป็นผ้าห่มผ้ารองนอนแม่ พี่ทรายก็คิดว่าแม่คงไม่ว่า เพราะแม่ชอบอยู่กับกลิ่นสะอาด แม่ไม่ชอบกลิ่นโรคภัยไข้เจ็บ โฆษณาน้ำยาซักผ้าเขาบอกว่ามันเป็นกลิ่นแดดยามเช้า เอาเข้าจริงพี่ทรายก็ไม่รู้หรอก ว่ากลิ่นแดดยามเช้ามันเป็นยังไง แต่ก็คิดว่าถ้าแม่จะรู้ตัว แม่ก็คงชอบมันมากกว่ากลิ่นอะไรอื่นๆ เพราะนั่นหมายถึงว่าเราผ่านเวลามาจนถึงยามเช้าได้อีกวัน วันนี้ทีมงานที่รายการโทรมาถาม ว่าพี่ทรายไหวมั้ยคะ ที่จะไปถ่ายรายการวันจันทร์นี้? มันอาจจะดูแปลกๆนะคุณแม่ แต่ทรายบอกว่าไหว และทรายคิดว่าถ้าแม่ยังอยู่ แม่ก็จะให้ทรายตอบแบบนี้ หรือไม่ก็ตอบเองอย่างที่ทำมาตลอด “พี่ทรายไหวอยู่แล้วเนอะลูก” ไหวค่ะ ต้องไหว จะเป็นยังไงทรายก็ต้องไปต่อ อยากให้เป็นเหมือนแต่ก่อนที่แม่จะเอาซองหรือเช็คค่าตัวมาลูบหัวลูบตัวทราย “น่ารักกกกก เก่งมากพี่ทราย เฮง เฮง เฮงนะลูก” แล้วก็นั่งขำกันสองคนที่เราเล่นแบบนี้เหมือนแม่ค้าเปิดร้าน วันนี้สวดศพคุณแม่คืนแรก พอทรายกลับบ้านโมโม่ก็งัวเงียรออยู่หน้าประตู เห็นมั้ยคุณแม่ ที่แม่บอกว่าแม่ไม่ชอบหมาเพราะมันน่าเบื่อที่ดีใจตลอดเวลา และไม่ชอบแมวเพราะมันหยิ่ง เรียกก็ไม่มาหาเนี่ย มันก็ไม่จริงเสมอไป อะไรๆในชีวิตมันก็ไม่แน่ไม่นอนแบบนี้ เราแค่มีหน้าที่เดินต่อไป ไหวแหละเนอะ