"กนอ."เซ็นลงนามสัญญาร่วมลงทุนแบบ PPP NET Cost กับบริษัทกัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอลหลัง ครม.ไฟเขียวขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด รวมพื้นที่ถมทะเล 1,000 ไร่เพื่อเดินหน้าโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 คาดพัฒนาแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ปี 68
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)เห็นชอบการลงทุนโครงการขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดซึ่งเป็นพื้นที่ถมทะเล 1,000 ไร่ในการพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ( ช่วงที่ 1) กนอ.จึงได้ร่วมลงนามในสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัทกัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด(บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทพีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด) ที่เป็นผู้ชนะประมูลโครงการดังกล่าว โดยเป็นสัญญาร่วมทุนในรูปแบบ Public Private Partnership (PPP) NET Cost หรือร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชนโดยให้เอกชนได้รับสิทธิ์ในการประกอบกิจการบนพื้นที่ จำนวน200ไร่ และจัดสรรผลตอบแทนบางส่วนให้แก่ภาครัฐตามข้อตกลง
“โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะ 3 ช่วงที่ 1 นับเป็น 1 ใน 5 โครงสร้างพื้นฐานหลักในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)หรือ EEC Project List ที่ถือเป็นโครงการแรกในการเซ็นสัญญาร่วมทุน กนอ.คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปี 2568 และมั่นใจว่าจะมีส่วนสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมากขึ้นและนี่จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะทำให้เกิดการเชื่อมต่อระบบขนส่งแบบไร้รอยต่อของไทยเพื่อเชื่อมไปสู่ประตูเศรษฐกิจกลุ่มประเทศCLMVT”
ทั้งนี้ภายหลังการลงนาม กนอ.จะส่งมอบพื้นที่ให้กับบริษัทคู่สัญญาเข้าสำรวจออกแบบรายละเอียดและก่อสร้างในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน เป็นไปตามเป็นไปตามสัญญาร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พร้อมกันนี้ กนอ.เตรียมที่จะเข้าไปยื่นเอกสารต่อกรมเจ้าท่า เพื่อให้การพัฒนาท่าเรือฯมาบตาพุด ระยะที่3 ช่วงที่ 1 ทั้งในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และส่วนของระบบสาธารณูปโภคภายในพื้นที่ท่าเรือฯเป็นไปตามกฎหมายการขออนุญาตปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยอย่างถูกต้อง
นอกจากนั้น กนอ.จะมีการจั้งตั้งกองทุนตามมาตรการที่กำหนดในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ (EHIA) ไม่ว่าจะเป็นด้านผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนโดยรอบพื้นที่และใกล้เคียงอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน
โดยภายหลังที่ได้ส่งมอบพื้นที่ให้กับเอกชนคู่สัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)จะเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่1 โดยมี 5 ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ ผู้แทนจาก กนอ.,ผู้แทนจาก สกพอ.,ผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด,ผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนจากบริษัทเอกชนร่วมลงทุน เพื่อเข้ามากำกับดูแลการพัฒนาให้เป็นไปตามกรอบการดำเนินงานภายใต้สัญญาร่วมลงทุนต่อไป
สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 รวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 55,400 ล้านบาท โดยในช่วงที่ 1 จะเป็นการพัฒนาในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) โดยบริษัทคู่สัญญาที่ได้ลงนามในวันนี้(1 ต.ค.)แล้วสามารถเข้าไปพัฒนาพื้นที่ได้ทันที ซึ่งเอกชนที่ชนะการประมูลในช่วงที่ 1 จะได้สิทธิในการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือ(Superstructure) ประมาณ 200 ไร่ รวมมูลค่าการลงทุนประมาณ 47,900 ล้านบาทแบ่งเป็น กนอ.ร่วมลงทุนเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิไม่เกิน 12,900 ล้านบาท และภาคเอกชน 35,000 ล้านบาทได้แก่ การขุดลอกและถมทะเล พื้นที่ 1,000 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ 550 ไร่ และพื้นที่เก็บกักตะกอน 450 ไร่ การขุดลอกร่องน้ำ และแอ่งกลับเรือ การก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการเดินเรือ ท่าเทียบเรือบริการ และท่าเรือก๊าซรองรับปริมาณการขนถ่ายก๊าซได้ 10 ล้านตันต่อปี คาดจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568
นอกจากนั้นในช่วงที่ 2 จะเป็นการลงทุนพัฒนาก่อสร้างในส่วนของท่าเรือ(Superstructure)กนอ.จะดำเนินการออกทีโออาร์เพื่อประกาศเชิญชวนภาคเอกชนที่สนใจเข้าร่วมพัฒนาโดยเอกชนเป็นผู้ลงทุนพัฒนาท่าเทียบเรือสินค้าเหลวรองรับปริมาณขนถ่ายสินค้าเหลวได้ 4 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568 ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4,300 ล้านบาท และงานก่อสร้างพื้นที่หลังท่าจำนวน 150 ไร่ เงินลงทุน 3,200 ล้านบาท เพื่อรองรับธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
“ปัจจุบันการใช้งานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดมีการใช้งานใกล้เต็มศักยภาพรองรับแล้ว จึงจำเป็นต้องขยายเป็นระยะที่ 3 เพื่อรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และสินค้าเหลวสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คาดว่าจะสามารถรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและสินค้าเหลวได้เพิ่มอีก 14 ล้านตันต่อปีในอีก 30 ปีข้างหน้า”