สร้างความฮือฮาไม่น้อย เมื่อมีข่าวว่า สภาคองเกรส ของสหรัฐอเมริกา เตรียมอนุมัติ การขาย เฮลิคอปเตอร์ โจมตี แบบ AH-6i Little Bird ให้กองทัพบกไทย อีก 8 ลำ งบประมาณราว 1.2 หมื่นล้านบาท
หลังจากที่ กองทัพบกไทย เพิ่งจัดซื้อ รถเกราะ Stryker จากสหรัฐฯ อีก 140 คัน งบประมาณ รวมกว่า 5 พันล้านบาท
โดยล็อตแรก 37 คัน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งเป็น อดีตผบ.ทบ. อนุมัติให้ใช้งบประมาณกลาง 2,860 ล้านบาท ในการจัดซื้อ โดยสหรัฐฯแถมให้อีก 23 คัน และจัดซื้อโดยงบประมาณของทบ.เองอีก 10 คัน งบประมาณ 850 ล้านบาท ส่วนล็อต 2 ปีหน้า จะจัดซื้ออีก 50 คัน โดยสหรัฐฯจะให้แถมอีก 30 คัน คาดใช้งบประมาณ อีกกว่า 3 พัน ล้านบาท
แต่กองทัพบก เพิ่งชี้แจงในวันรุ่งขึ้นว่า การจัดซื้อ ฮ.โจมตีอีก 8 ลำนี้ ใช้งบประมาณ 4,226 ล้านบาท ไม่ใช่ 12,000 ล้านบาท เพราะนั่น เป็นกรอบวงเงิน ที่ทาง DSCA ของกลาโหม สหรัฐฯ ขออนุมัติจาก สภาคองเกรส เพื่อเปิดกรอบวงเงิน สำหรับการจัดซื้อทั้งโครงการ 31 ลำ ขั้นต่ำ พร้อมระบบอาวุธ
ท่ามกลางกระแสโจมตี ของฝ่ายต่อต้าน คสช. และฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกทบ. ก็เปิดเผยข้อมูลว่า เป็นโครงการที่อนุมัติไว้ตั้งแต่ปี 2554 โดยจัดซื้อล็อทแรก จำนวน 8 ลำไปแล้ว ด้วย
ทั้งนี้ ทางทบ. ไม่ได้เปิดเผยว่า ในปี 2554 ที่ครม.อนุมัตินั้น เป็นในช่วงเดือนใด ในรัฐบาลของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือ รัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ก็เป็น นายกฯและรมว.กลาโหม ด้วย ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อ สิงหาคม 2554
เพราะไม่ว่าจะยุค อภิสิทธิ์ หรือ ยิ่งลักษณ์ ก็ถือว่า เป็นยุคที่มีความสัมพันธ์อันดีกับกองทัพ โดยเฉพาะในเวลานั้น มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ.ทบ. ซึ่งก็สนิทสนมกับ ยิ่งลักษณ์ เป็นอย่างมาก จนถูกเปรียบเปรยว่า เป็นเสมือน รมว.กลาโหม เงา ที่คอยให้คำแนะนำ และมีอิทธิพลต่อ ยิ่งลักษณ์ อย่างมาก จนถูกมองว่า เป็นยุคที่ เอาใจ mski
เพราะในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นั้นมี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ มาเป็น รมว.กลาโหม และมี สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ที่ก็เอาใจรัฐบาล
ทว่า ในปี 2554 นั้น รัฐบาล อภิสิทธิ์ มีปัญหาวุ่นวายจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง จนมีการกระชับพื้นที่ และมีการเสียชีวิตจำนวนมาก และเป็นช่วงเตรียมการเลือกตั้ง
แต่ก็เป็นการอนุมัติ กรอบใหญ่ให้มีการจัดซื้อ ฮ.โจมตี เพื่อมาทดแทน ฮ.Cobra จากสหรัฐฯ ที่ ทบ.ใช้มานาน กว่า 30 ปี และปลดประจำการไปจนหมดกองทัพบกแล้ว
แต่โครงการ ก็ถูกระงับไป หลังการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ เอง
เมื่อกลับมาเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง และเป็นจังหวะที่มี “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็น ผบ.ทบ. ที่มีความสนิทสนมกับผู้นำทหารสหรัฐฯอยู่แล้ว สหรัฐฯจึงไฟเขียว โครงการขาย ฮ. นี้ให้ไทยต่อ
ที่ยิ่งส่งผลให้ ภาพพจน์ของ พล.อ.อภิรัชต์ และ กองทัพบก ยิ่งแนบแน่นใกล้ชิดกับ สหรัฐอเมริกา มากขึ้น
ทั้งไหนจะ ซื้อรถเกราะ Stryker และ เฮลิคอปเตอร์ AH6i และ ปืนประจำการ M4 จากสหรัฐฯ
อีกทั้ง ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ พล.อ.อภิรัชต์ มีกับ Gen Robert B Brown ผบ.กองกำลังทางบก ภาคพื้นอินโดแปซิฟิคของสหรัฐฯ ที่เป็นคนที่ช่วยทำให้ ทบ.สหรัฐฯ ยอมขาย รถเกราะ Stryker ให้ ทบ.ไทยเป็น ประเทศแรกในโลก แถมด้วยเงื่อนไขพิเศษ ทั้งลดราคา และแถม ให้เกือบครึ่ง ผ่านโครงการความช่วยเหลือทางการทหาร FMS ที่กลับมาใหม่ หลังมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
รวมทั้ง การที่ไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม ผบ.ทบ.ภาคพื้นอินโดแปซิฟิค เมื่อ 9-11 ก.ย. ที่ผ่านมา ในกรุงเทพฯ ที่ทำให้ เกิดความใกล้ชิดกับ Gen James C Mc Conville ผบ.ทบ.สหรัฐฯ ที่เป็นนักบิน คนแรกที่ได้เป็น ผบ.ทบ. เหมือน บิ๊กแดง อีกด้วย
ที่สำคัญคือ พล.อ.อภิรัชต์ เคยเป็นนักบินทบ. และเคยบิน ฮ.Cobra ด้วย การผลักดันในการจัดซื้อ ฮ.AH-6i มาทดแทน ฮ.Cobra จึงเสมือนเป็นการทำให้ ฮ.Cobra กลับมา เป็นดาวเด่น ในทบ. เหมือนเดิม เพราะได้รับการยอมรับว่า เป็น ฮ.ดี
ถึงขั้นที่ พล.อ.อภิรัชต์ เดินทางไปสหรัฐอเมริกา ด้วยตนเอง เมื่อกลางเดือน กันยายน
ข่าวการจัดซื้อ ฮ.ใหม่ จากสหรัฐฯ ออกมาในช่วงที่ ทบ.ไทย ส่งทหารไทย 158 นาย จาก ร.29 พัน 1 รอ.ไปฝึกตรวจสอบกับสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ที่ JRTC รัฐหลุยส์เซียน่า ของสหรัฐฯ ที่เป็นโครงการของ พล.อ.อภิรัชต์ หลังจากที่เคยส่งทหาร ไปฝึก Lightning Forge ที่ Hawaii ของสหรัฐฯมาแล้ว
และในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไปประชุม UNGA ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมรีกา และได้พบกับ ประธานาธิบดี Donald Trump ของสหรัฐฯ พอดี
เพราะทั้งการจัดซื้อ รถเกราะ Stryker และ ฮ.Little Bird AH-6i จากสหรัฐฯ นี้ก็ล้วนมีต้นตอ มาจาก พล.อ.ประยุทธ์ mส่งลูกให้ พล.อ.อภิรัชต์ ทำต่อให้สำเร็จ
ทั้งการ ปรับโครงสร้างหน่วย ให้ พล.ร.11 รอ. เป็น Stryker Brigade Combat Team เพื่อความคล่องตัวในการรบ อันเป็นความฝัน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ คิดไว้ตั้งแต่เป็นแม่ทัพภาค 1 แต่ไม่มีโอกาสทำให้สำเร็จ เพราะเป็นช่วงที่การเมืองวุ่นวายต่อเนื่อง แม้แต่ตอนขึ้นเป็น ผบ.ทบ. 4 ปี ก็เตรียมรัฐประหาร และเกิดการรัฐประหารขึ้น
รวมถึง ฮ.รุ่นใหม่นี้ด้วย ก็เริ่มโครงการในปี 2554 ตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. นั่นเอง
เรียกได้ว่า พล.อ.อภิรัชต์ น้องรักสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำทุกโครงการได้สำเร็จ ผ่านฉลุย แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อย่างหนัก ในเรื่องงบประมาณทางทหาร ก็ตาม
แต่ด้วยเพราะ อาวุธของสหรัฐฯ นั้นได้รับการยอมรับ แม้รถเกราะจะเป็นรถมือ 2 แต่ก็ทำการยกเครื่องใหม่หมดแล้ว แถมได้ราคาถูก อีกด้วย จึงทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ มองข้ามเสียงวิจารณ์เหล่านั้นไป
โดยยึดหลักการที่ว่า จะทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ให้ประเทศ และกองทัพบก โดยไม่ต้องกลัวอะไร หากทำอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ใดๆ
รวมทั้งไม่สนใจว่า ทบ.เองจะเคยซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ จากจีนก็ตาม เพราะส่วนนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน การจัดซื้อ รถเกราะ VN1 ของจีน และ รถถัง VT4 ของจีน ก็ยังคงดำเนินต่อไป
ส่วนกองทัพเรือ ที่ก็ต่อเรือดำน้ำจากจีน 3 ลำ และจะต่อเรือยกพลขึ้นบก ลำใหม่ จากจีนอีก 6,100 ล้านบาท ก็ตาม ถือเป็นการแบ่งบทบาทหน้าที่กันในเชิงการเมือง การทหารระหว่างประเทศไป
เพราะ พล.อ.อภิรัชต์ ยึดถือว่า ทบ.ไทย ใช้หลักนิยมทางทหาร แบบสหรัฐฯมาตั้งแต่ต้น และยาวนาน แม้แต่ รร.นายร้อย จปร. ก็ยังยึดรูปแบบของ นายร้อย WestPoint ของสหรัฐฯ
ไม่นับรวมที่ บิ๊กแดง จบจากสหรัฐฯ และไปฝึกอบรมทางทหาร มาหลายหลักสูตร แม้แต่ตอนเป็น แม่ทัพภาค 1 และ ผช.ผบ.ทบ. ก็ตาม
จึงน่าจับตามอง บทบาท ของพล.อ.อภิรัชต์ ไม่ใช่ในทางการเมือง แต่ในแง่การเมืองระหว่างประเทศ กับสหรัฐเมริกา ด้วย