ฮือฮากลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ขุดค้นศึกษาพื้นที่บริเวณกลางเมืองโบราณเวียงท่ากาน 1000 ปีพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ทั้งสิ้น 23 โครง และโครงกระดูกม้าอีก 1 โครงโครงกระดูกเชื่อว่าเป็นการปลงศพแบบโบราณ วันที่ 26 กย.2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ทำการขุดค้นศึกษาพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกึ่งกลางเมืองโบราณเวียงท่ากาน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ พบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ทั้งสิ้น 23 โครง และโครงกระดูกม้าอีก 1 โครงซึ่งโครงกระดูกดังกล่าวเป็นการปลงศพโบราณอย่างมีรูปแบบ หันหัวไปทางทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงเหนือในท่านอนหงายงอเข่าทั้งนี้กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ จะได้นำโครงกระดูกไปศึกษาสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอของโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ต่อไป ในการขุดค้นศึกษาครั้งนี้จะช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับช่วงระยะเวลาและรูปแบบพิธีกรรมปลงศพของผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเวียงท่ากานในอดีตให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น สืบเนื่องจากเมื่อปี พ.ศ.2555 กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้เคยทำการขุดค้นศึกษาพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกึ่งกลางเมืองโบราณเวียงท่ากาน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ พบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ทั้งสิ้นจำนวน 14 โครง และโครงกระดูกม้า อีกจำนวน 1 โครง จากการศึกษาในครั้งนั้น ทำให้ทราบว่าโครงกระดูกดังกล่าวเป็นการปลงศพโบราณอย่างมีรูปแบบ โดยจะหันหัวไปทางทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ในท่านอนหงายงอเข่า การศึกษาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์พบว่า โครงกระดูกมนุษย์โบราณดังกล่าวมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ซึ่งร่วมสมัยแรกเริ่มการเกิดขึ้นของรัฐหริภุญไชย เพื่อเป็นการไขปริศนาเรื่องราวของผู้คนโบราณที่เวียงท่ากานให้กระจ่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ.2562 กลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ จึงได้ดำเนินการขุดค้นศึกษาทางโบราณคดีเพิ่มเติม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.เพื่อศึกษาอายุสมัยของโครงกระดูกมนุษย์โบราณในพื้นที่เมืองโบราณเวียงท่ากานด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และ 2.เพื่อศึกษาสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ของโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ซึ่งการขุดค้นศึกษาครั้งนี้จะช่วยไขปริศนา เกี่ยวกับช่วงระยะเวลาและรูปแบบพิธีกรรมปลงศพของผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเวียงท่าในอดีตให้มีความชันเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้การศึกษาสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ของโครงกระดูกมนุษย์โบราณเหล่านี้ ยังสามารถให้คำตอบเบื้องต้นเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้คน และสามารถนำไปวิเคราะห์หาความเชื่อมโยงเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์และการเคลื่อนย้ายของกลุ่มชน ก่อนที่จะมีพัฒนาการก่อเกิดเป็นบ้านเมืองอย่างรัฐหริภุญไชยได้อีกด้วย.