“เธอไม่ยอมทำใจให้ปลง ยังคงคิดวนเวียนวกวน ทุกข์ระทมอยู่อย่างนี้ อยากให้เธอทำใจให้สบายชีวิตมีเรื่องดีๆ อีกมากมาย ไม่มีใครรู้วันตาย จะเสียเวลาทุกข์กับมันไปทำไม” ท่อนหนึ่งในเพลง “ทุกข์ทุกวัน” ผลงานของ “นที เอกวิจิตร” หรือ “อุ๋ย-บุดดาเบลส” ที่ใครได้ฟังแล้วก็คงจะรู้ว่า เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการที่เจ้าตัวได้ศึกษาธรรมจนเข้าใจหลักธรรมอย่างถ่องแท้ว่า “สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” “ได้ลองดูตัวเองว่าเวลาทุกข์ เกิดจากอะไรถ้าไม่ใช่การเจ็บป่วยทางกาย ส่วนใหญ่ก็ทุกข์จากความคิดตัวเองทั้งนั้น กังวลอนาคตที่ยังมาไม่ถึงกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว แต่เวลาที่ไม่คิดถึงก็ไม่ทุกข์ แปลว่าการอยู่กับปัจจุบันไปเรื่อยๆ ก็เป็นการตัดทุกข์ได้อย่างหนึ่ง”          ศิลปินหนุ่มได้มาแบ่งปันสิ่งที่เขาพิสูจน์แล้วจากการพิจารณาตัวเองจนค้นพบเหตุและผล ในเวที “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” ซึ่งจัดขึ้นโดย บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้ก่อตั้งร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ประเทศไทย โดยจัดติดต่อกันมาเป็นปีที่ 23 แล้ว ตามปณิธานองค์กรที่ต้องการร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน หนุ่มอุ๋ยในมาดที่ไม่คุ้นตาสลัดคราบนักร้องที่เรามักจะเคยชินเห็นเขาในเสื้อผ้าสีสันแสบทรวง เหมือนสัญญาณไฟจราจร แต่เมื่อมาอยู่ในชุดขาวก็หาได้ขัดกับบุคลิกอีกด้าน ยิ่งแฟนพันธุ์แท้วงบุดดาเบลสก็ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะแม้ผลงานเพลงของวงนี้จะเป็นแนวแร็ป แต่ก็มีเนื้อหาอิงธรรมะเสริมสร้างสังคมด้วยหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็น “ใจเย็น” “ลำยอง” หรือ “ชิงหมาเกิด”  ก่อนจะมาเป็นแรปเปอร์หนุ่มสายธรรมะในวันนี้ เจ้าตัวยอมรับว่าเคยเป็น “ชาวพุทธแบบเปลือก” มาก่อน ซึ่งสมัยเด็กๆ ที่บ้านปลูกฝังให้ใส่บาตร ทำบุญ เข้าวัด แต่ตอนนั้นยังไม่เข้าใจ ทำไปแบบเหมือนทำบุญสะสมแต้ม เข้าวัดก็เพื่อไปขออย่างเดียว เรียกว่ามีศรัทธาค่อนข้างน้อย ไม่นับว่าเป็นเด็กที่บ้าเหตุผลแบบสุดโต่ง จนบางครั้งแสดงออกอย่างก้าวร้าว จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาได้ปฏิบัติ และหันมาศึกษาธรรมะอย่างจริงจังก็คือช่วงที่เรียนมัธยมปลาย ที่บ้านเกิดไฟไหม้ ทุกคนในบ้านโดยเฉพาะคุณแม่เป็นทุกข์หนัก จึงได้ชวนคุณแม่ไปปฏิบัติธรรม เพราะคิดว่าอาจจะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้นได้ ทั้งๆ ที่ก่อนนี้ใครชวนเท่าไหร่ก็ไม่เคยสนใจ การเริ่มต้นในครั้งนั้นทำให้คิดได้ว่า “มรรค 8” ก็เหมือนกระดุม 8 เม็ด ถ้าติดเม็ดแรกผิด เม็ดที่สอง ที่สามต่อมาก็จะผิดไปหมด เรียกว่าคิดผิด ก็จะพูดผิด ทำผิดต่อไปเรื่อยๆ เพราะตัวเขาเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้วด้วยความสุดโต่งเกินไป จากที่ควรเป็นคน “ถือศีล” ก็กลายเป็นคน “ยึดศีล” หรือติดดีผิดทางไม่ได้ขัดเกลาตนเอง แต่กลับไปตัดสินผู้อื่นเสียหมด ดังนั้นต้องมี “ศรัทธา” กับ “ปัญญา” ให้เสมอกันเพราะ “ศรัทธา” จะช่วยให้ในวันที่เรายังหาคำตอบด้วยปัญญาไม่ได้ เรายังไม่ล้มเลิกในการทดลอง ถ้ายังมีศรัทธาอยู่จะทำให้เรายังคงปฏิบัติไปเรื่อยๆ แต่ถ้าศรัทธามากเกินก็จะกลายเป็นคนงมงายจนไม่สนเหตุผลอะไร  และเมื่อเกิดเป็นปัญญา สามารถเข้าใจเหตุและผล เข้าใจทุกข์ ที่มาของทุกข์ และทางดับทุกข์ได้แล้ว ก็ไม่ต้องไปออกแรงเรียกร้องให้ใครปฏิบัติตาม เพราะเสียงเรียกที่เปล่งออกไปแล้วดัง และทรงพลังที่สุดไม่ใช่คำพูด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เห็นจากการกระทำ เหมือนที่ “อุ๋ย บุดดาเบลส” ได้ทำให้เราเห็นแล้ว และยังสะท้อนออกมาในผลงานเพลงที่เขาสร้างสรรค์ออกมาอีกด้วย “ผ่อนคลายวางมันให้ลง อยากจะบอกกับเธอตรงๆ ถ้ามองหาสิ่งที่มั่นคง มันไม่มีอยู่ในโลกนี้ ทำใจให้สบาย ชีวิตมีเรื่องดีดีอีกมากมาย ไม่มีใครรู้วันตาย จะเสียเวลาทุกข์กับมันไปทำไม” สำหรับผู้สนใจร่วมฟังธรรมบรรยายดีๆ ในโครงการ “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ” ได้ที่ชั้น 11 อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ ถนนสีลม ทุกวันศุกร์ เวลา 12:00-13:30 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ