วันนี้ “รื่นรมย์คนการเมือง” ขอพามาทำความรู้จักกับ “กรรณภว์ ธนภรรคภวิน” สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สมาชิกหนึ่งในแม่น้ำสายสำคัญ ที่กำลังขับเคลื่อนภารกิจในด้านนิติบัญญัติ
กรรณภว์ เล่าย้อนไปถึงวันที่เขาตอบตกลงเข้ามารับหน้าที่สนช. ซึ่งวันนั้นได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการกองทัพบก ได้โทรศัทพ์เข้ามาทาบทามเขา และบอกว่า จะขอประวัติ และอยากให้มาร่วมกันทำงานเพื่อบ้านเมือง โดยไม่ได้บอกว่าจะให้มาทำอะไร
“ผมก็งงๆ แล้วก็ตอบเขากลับไปว่า ผมมีประวัติอยู่ในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ไปหาประวัติที่นั่นแล้วกัน ช่วงที่ผมเข้ามารับตำแหน่งสนช. บ้านเมืองขณะนั้นกำลังวุ่นวายมีปัญหาต่างๆ ผมคิดว่าถ้าเข้ามาแล้วทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี”
@ ตั้งใจทำงาน ไม่ให้ใครผิดหวัง
กรรณภว์ เล่าให้เราฟังว่า ตัวเองนั้นไม่เคยทำงานในสภามาก่อน แต่ก็ถือว่าการเป็นสนช. เป็นหนึ่งภารกิจ ที่ทำให้เขาตระหนักอยู่เสมอว่า “ไม่อยากให้คนที่เห็นว่า เราสามารถทำงานช่วยบ้านเมืองได้ต้องผิดหวัง ทำให้ผมพยายามทำให้ดีที่สุด”
ก่อนที่กรรณภว์ จะเข้ามาเป็นสนช. นั้นเขาเองเคยคิดว่า คงจะมาแค่ดูเรื่องกลั่นกรองกฎหมายเท่านั้น แต่เมื่อเข้ามาแล้ว ก็รู้เลยว่าสนช.มีความสำคัญมาก เพราะไม่ใช่แค่เข้ามากลั่นกรองกฎหมาย แต่มีข้อเท็จจริงมากมาย ซึ่งให้ความรู้ที่มีประโยชน์กับตัวเอง และแต่ยังทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมด้วย
กรรณภว์ ยอมรับกับเราว่า การกลั่นกรองกฎหมาย เพื่อให้กฎหมายนั้นมีความสมบูรณ์และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจริงๆ เป็นเรื่องยาก ซึ่ง 6เดือนแรกที่เข้ามาทำงาน นอนไม่หลับเลย แต่โชคดีที่ทางสภาอนุญาตให้ สนช.แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการประจำตัวสมาชิกสนช.ได้ จึงได้หาทีมงานที่มีความรู้ในด้านต่างๆ เข้ามาช่วยทำงาน
@ เปิดตารางทำงาน -พักผ่อน
ก่อนหน้านี้ กรรณภว์ เคยเป็น “ที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน” มาก่อน ซึ่งงานหลักคือการรับเรื่องร้องเรียนจากภาครัฐต่อภาครัฐ และดูเรื่องจริยธรรม จากนั้นก็ไปอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 1 เดือน แต่มองว่างานนี้ไม่เหมาะกับตัวเรา เจึงขอลาออกจนกระทั่งมีผู้ติดต่อมาช่วยงานสนช.
ก่อนที่จะมาเป็นสนช. ได้หยุดงานทั้งหมดไปแล้ว เพื่อให้เวลาทำงานที่สภาได้อย่างเต็มที่ อย่างวันอาทิตย์ เกือบทุกสัปดาห์ ก็จะมีการประชุมทีมงาน ตั้งแต่ 13.00-17.00 น. เพื่อมาศึกษาทำความเข้าใจกฎหมายที่จะเข้ามาสู่สภา พิจารณาว่ากฏหมายที่เข้ามามีมาตราใดที่ควรจะแปรญัตติ โดยเฉพาะกฏหมายที่สำคัญและจะมีผลกระทบต่อส่วนรวมก็ต้องพยายามศึกษา
กรรณภว์ อธิบายถึงการทำงานว่า มีหน้าที่อยู่ใน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สนช. และคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สนช. ซึ่งทั้งสองคณะเป็นงานที่หนัก อย่างเรื่องของพลังงาน ก็มีเรื่องปิโตรเลียมที่ภาคประชาชนให้ความสนใจ ส่วนเรื่องการเกษตรก็มีปัญหาทั้งความเดือดร้อนของเกษตรกร ในเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำ เรื่องน้ำท่วม ฝนแล้งไม่มีที่ทำกินจึง เป็นงานที่หนักมาก
ดังนั้นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือจะส่งผลให้เวลาพักผ่อนไม่ค่อยพอ เพราะตั้งแต่วันพฤหัสถึงวันศุกร์ ก็จะมีการประชุมสภาใหญ่ ส่วนวันจันทร์ถึงวันพุธ จะเป็นการประชุมกรรมาธิการสามัญ กรรมาธิการวิสามัญ อนุกรรมาธิการ และบางครั้งก็จะมีอนุศึกษาในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้ช่วงที่ผ่านมามีกฎหมายเข้ามามาก บางฉบับที่มีเนื้อหาเยอะต้องใช้เวลาในการพิจารณานานก็จะต้องมีการประชุมสัปดาห์ละ2 วัน เพื่อให้การพิจารณาเสร็จเร็วขึ้น ส่วนวันเสาร์ที่เป็นวันหยุด เขาเองจะใช้เวลาที่มีอยู่เดินออกกำลังภายในหมู่บ้าน นั่นเอง
@ ย้อนอดีตผู้จัดการทีมบาสเกตบอล
เมื่อถามถึงกีฬาอะไรที่ชื่นชอบ กรรณภว์ ก็เล่าถึงอดีตสมัยเรียนมัธยมตอนต้น ว่าโดยส่วนตัวแล้วชื่นชอบการเล่นบาสเกตบอล จนถึงขั้นไปแข่งขันมาแล้ว
“ ผมชอบเล่นบาสเกตบอลมาตั้งแต่เรียนหนังสือและอยู่ในทีมบาสเกตบอลของโรงเรียนสหคุณศึกษา ตอนนั้นผมเป็นผู้จัดการทีม คุมเพื่อนไปลงแข่ง แต่ก็หยุดเล่นกันไปแล้วก็หยุดกันไปนานแล้ว พอมาทำงาน เห็นสนามบาสเกตบอลที่ไหน ก็จะไปชู้ตเล่นบ้าง จากนั้นผมก็หันมาตีกอล์ฟบ้างเป็นบางครั้ง เพราะเห็นว่าบาสเกตบอลมันหนักเกินไปสำหรับอายุอย่างผม”
@ คล้อง“หลวงพ่อเงิน” ติดตัว
สำหรับของสะสม นั้นกรรณภว์ เปิดใจว่า ชอบสะสม พระเครื่อง แต่ปัจจุบันไม่ได้สะสมแล้ว เพราะสมัยก่อนวงการพระเครื่องไม่เป็นในเชิงพาณิชย์มาก อย่างปัจจุบันส่วนพระเครื่องที่คล้องคอประจำ คือ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ. พิจิตร ซึ่งเป็นพระที่ได้มาจากผู้ใหญ่ที่เคารพ นับถือ ได้มอบให้กับเรา
อีกบทบาทหนึ่งที่มีความสำคัญไม่พอแพ้กันนั่นคือการทำหน้าที่ “คุณพ่อ” ซึ่งในมุมนี้กรรณภว์ เล่าว่าจะอบรมลูกชายและลูกสาว โดยจะบอกอยู่เสมอว่า อย่าทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย อย่าคิดได้เงินโดยทางลัด และขอให้มีความจริงใจในการทำงาน ถ้าเราชอบงานแล้ว งานก็จะชอบเรา ขอให้คบเพื่อนที่คิดว่าเป็นเพื่อน ความจน ความรวยไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอให้เป็นเพื่อนที่ดี เอาไว้ปรึกษาหารือปัญหาต่างๆได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ
สำหรับตัว กรรณภว์ เองนั้น เขายอมรับว่า สมัยก่อนอยากจะมีสิ่งต่างๆ แต่พอระยะหลังๆ ได้น้อมนำพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่พระองค์ท่านทรงตรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง จึงนำมาคิดว่าควรที่จะเอามาเป็นแบบอย่าง อย่างเรื่องการมีสมาธิ การตั้งใจในการทำงาน ศึกษางานอย่างแท้จริง
“งานที่เราทำไม่จำเป็นต้องประกาศให้คนรู้ เราพอใจในสิ่งที่เรามีก็มีความสุขแล้ว ผมถือเรื่องนี้เป็นหลักและบอกกับลูกเสมอว่า เราทำเต็มที่แล้ว อย่าไปทุกข์ ดิ้นรนจนเกิดเหตุ”
แบบอย่างในการทำงานของกรรณภว์ คือ คุณพ่อของเขาเอง ท่านมาจากประเทศจีน ท่านลำบากมาก แม้ท่านไม่ได้มีการศึกษาสูงในยุคสมัยนั้น แต่ท่านก็มีความอดทน ขยัน ประหยัด เหนือสิ่งอื่นใด ท่านไม่เคยทำสิ่งผิดกฎหมาย ไม่เคยมีปัญหากับใคร เราคิดว่าสิ่งนี้ป็นแบบอย่างที่เรายึดอยู่ตลอดเวลา
ก่อนปิดท้ายการสนทนา กรรณภว์ ได้เปิดใจถึงการวางแผนชีวิตว่าหลังหมดวาระสนช. แล้ว หากมีโอกาสจะขอไปบวชเป็นพระภิกษุสักพักหนึ่ง
“ เพราะผมคิดว่าการที่เราได้บวชในช่วงที่แข็งแรงอยู่นั้น เพื่อที่จะได้ไม่ไปเป็นภาระให้กับทางวัดและจะได้ใช้เวลาศึกษาธรรมะเพื่อให้จิตใจเราสงบ รู้เรื่องพระธรรมมากขึ้น จากนั้น หากไม่ทำอะไรต่อคงพักผ่อนอยู่บ้านเฉยๆ”
เรื่อง : ปาริชาติ เฉลิมศรี
ภาพ : พสุพล ชัยมงคลทรัพย์