สะเทือนเลื่อนลั่น ด้วยความหวาดหวั่นกับ “นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน” ของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำมะกันจอมดีเดือดกันอีกคำรบโดยตามนโยบายที่ว่าอันเป็นที่มาของอาการขวัญผวาของชาวโลกกันก่อนหน้า ก็เป็นเรื่องเศรษฐกิจกีดกันการค้าบ้าง การกระทบกระทั่งกับเพื่อนบ้านด้วยการสร้างกำแพงขวางกั้นพรมแดนบ้าง หรืออย่างมาตรการคัดกรองคนเข้าเมืองอย่างเข้มงวดอย่างไม่มีใครเหมือน และก็ไม่เหมือนใครจนก่อไฟประท้วงไปทั่วโลกเป็นอาทิ ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ออกมาย้ำถึงนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน ว่าด้วยการเสริมสร้างแสนยานุภาพทางอาวุธนิวเคลียร์ ในฐานะมหาอำนาจเจ้าโลกของสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้อยแถลงของประธานาธิบดีมหาเศรษฐีทรัมป์ ระบุว่า มันจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมหัศจรรย์วันเดอร์ฟูลเลยทีเดียว สำหรับความฝันที่จะมิให้ประเทศใดๆ ในโลกนี้ มีอาวุธนิวเคลียร์ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “นุก” ไว้ในครอบครอง แต่ทว่า ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะหลายประเทศต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง และถ้าเป็นเช่นนี้ สหรัฐฯ ก็จะต้องอยู่บนสุดในฐานะชาติมหาอำนาจโลกด้านนิวเคลียร์ ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังได้ระบุถึงว่า ความประสงค์ที่ต้องการพัฒนาและขยายคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ ชนิดแบบเต็มรูปแบบทั้ง “น้ำ ฟ้า และฝั่ง” ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งที่มั่นฐานทัพอาวุธนิวเคลียร์บนภาคพื้นดิน หรือเครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีทางอากาศหรือการยุทธเวหาด้วยระเบิดติดหัวรบนิวเคลียร์ รวมถึงระบบการยิงขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ ตลอดจนถึงเรือดำน้ำที่ติดตั้งจรวดโจมตีที่ติดหัวรบนิวเคลียร์ไว้ประจำการตามน่านน้ำต่างๆ โดยโครงการพัฒนาที่ว่า ทางประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า วางกันยาวๆ ถึง 30 ปี สำหรับการพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ มิให้ล้าสมัย ชนิดที่ถึงแม้หมดสมัยวาระที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไปแล้ว แต่โครงการพัฒนาก็ยังเดินหน้าตามแผนการไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ประธานาธิบดีใหม่ของสหรัฐฯ ยังระบุด้วยว่า เพื่อให้สหรัฐฯ ไม่เดินตามหลังประเทศใด หากว่ากันถึงในเชิงยกย่องเปรียบเปรยของเหล่าชาติมหาอำนาจที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ด้วยกัน เรียกว่า ทางนายทรัมป์ต้องการให้สหรัฐฯ ยืนอยู่แถวหน้าในหมู่ชาติมหาอำนาจนิวเคลียร์ของโลก ซึ่งเมื่อว่ากันถึงตัวเลขการครอบครองและติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ ณ ชั่วโมงนี้ ต้องถือว่า รัสเซียยังมีจำนวนมากกว่าสหรัฐฯ โดยนายทรัมป์ได้อ้างเอ่ยตัวเลขของ “สมาคมควบคุมอาวุธ” หรือ “เอซีเอ” ซึ่งเป็นสมาคมที่ไม่แสวงหากำไรและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แม้มีที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์จำนวน 6,800 ลูก น้อยกว่ารัสเซียที่ครอบครองราว 7,000 ลูก ทั้งนี้ ทางประธานาธิบดีทรัมป์ หมายมั่นปั้นมือที่จะให้สหรัฐฯ มีจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ทัดเทียมกับรัสเซีย จากแผนพัฒนาเขี้ยวเล็บข้างต้น รวมถึงการบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับสนธิสัญญาการลดอาวุธยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ สมัยของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ลงนามร่วมกับอดีตประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟ แห่งรัสเซีย ซึ่งมีเนื้อหากำหนดให้ทั้งสองฝ่ายถือครองอาวุธมหาประลัยชนิดนี้เท่าเทียมในอีก 10 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ช่วงเร็วๆ นี้ ที่ผ่านๆ มา ปรากฏว่า ทางการรัสเซีย ได้ขยับปรับเพิ่มอาวุธนิวเคลียร์ลอตใหม่ จนประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมาตำหนิว่า ฝ่าฝืน ละเมิดสนธิสัญญาสตาร์ท ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ริเริ่มกระทำกันไว้ตั้งแต่ปี 2530 และตัวเขาเองก็จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นเป็นหนึ่งในประเด็นหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย หากได้พบปะกันในอนาคตด้วย ทว่า ถ้าจะกล่าวถึงแผนการพัฒนาเสริมสร้างแสนยานุภาพอาวุธนิวเคลียร์นี้ ก่อนหน้าได้เคยพูดกันในทางการของสหรัฐฯ แต่ก็ต้องมีอันต้องพับแผนดังกล่าวไป ทั้งนี้ ก็เป็นด้วย 8 ปีก่อนหน้าอันเป็นสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ไม่ค่อยเห็นด้วยกับโครงการ จนถึงขนาดเอ่ยปากว่า สหรัฐฯ ให้คำมั่นในลักษณะให้พันธสัญญาว่าจะแสวงหาสันติภาพและเสถียรภาพความมั่นคงของโลกโดยปราศจาการการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งประธานาธิบดีโอบามา ยังได้ตอกย้ำคำกล่าวข้างต้น ก่อนอำลาตำแหน่งเมื่อช่วงปลายเดือน ธ.ค. หรือ 29 วัน ก่อนโบกมือลาทำเนียบขาวไป ใช่แต่เท่านั้น แผนการพัฒนาเสริมสร้างเขี้ยวเล็บดังกล่าว ก็ต้องใช้งบประมาณจำนวนสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้โครงการข้างต้นต้องระงับไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม สำหรับประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว งบประมาณจำนวนดังกล่าว ผู้นำซึ่งพลิกผันจากนักธุรกิจมหาเศรษฐีรายนี้ บอกว่า ไม่เป็นปัญหาโดยพร้อมที่จะเดินหน้ากับแผนพัฒนาแสนยานุภาพอาวุธนิวเคลียร์ให้บังเกิดขึ้น และมิใช่แต่เฉพาะบนแดนดินถิ่นลุงแซมเองก็หาไม่ ทว่า ยังรวมถึงสองชาติพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียตะวันออก คือ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อันเป็นสองประเทศยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคดังกล่าว ทางประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ระบุว่า พร้อมที่จะร่วมมือให้ความช่วยเหลือการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ในสองประเทศดังกล่าวข้างต้นด้วย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการรับมือกับการรุกรานจากเกาหลีเหนือ และการคุกคามจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ยังคงให้ท้ายต่อเกาหลีเหนือ ในการพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมกันนี้ ทางนายฌอน สไปเซอร์ โฆษกประจำทำเนียบขาว ก็ได้ออกมาตอกย้ำถึงถ้อยแถลงของประธานาธิบดีทรัมป์ข้างต้น โดยระบุว่า สหรัฐฯ จะไม่ยินยอมให้ความยิ่งใหญ่ในฐานะมหาอำนาจสูงสุดด้านอาวุธนิวเคลียร์นี้ให้แก่ใครๆ ทางด้าน บรรดานักวิเคราะห์ แสดงทรรศนะว่า หลังถ้อยแถลงของประธานาธิบดีทรัมป์เอ่ยเอื้ออกไป ก็น่าหวั่นใจว่าจะส่งผลให้ประเทศต่างๆ ทั้งที่เป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์มีอาวุธมหาประลัยไว้ในครอบครองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และชาติต่างๆ มุ่งหวังที่จะสั่งสมสรรพาวุธประดามีทวีสถานการณ์ที่ร้อนระอุอยู่แล้ว เพิ่มอุณหภูมิดีกรีเดือดให้ร้อนแรงจากผลพวงของการแข่งขันกันยิ่งขึ้น