ยิ่งอยู่ ยิ่งยาก ยิ่งอยากเดินหน้า กลับถูกกระตุกดึง ให้สะดุด แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ชนิดคอขาดบาดตาย แต่ความวุ่นวาย พัลวัล พัลเก ที่ประเด ประดังเข้ามาปะทะ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ “ผู้คุมหางเสือ” ให้กับ “เรือเหล็ก” ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ แม้ไม่คับขัน แต่ก็หัวเราะไม่ออก ได้อีกหลายคราว ปัญหาการอยู่ร่วมกัน ระหว่าง “20 พรรค” ในฐานะ “รัฐบาลผสม” ถูกตั้งข้อสังเกต คาดการณ์กันมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้วว่า เป็นการยากที่จะอยู่กันราบรื่น ชื่นมื่นกันไปได้จนตลอดรอดฝั่ง ยิ่งเมื่อเป็นรัฐบาล “เสียงปริ่มน้ำ” มีส.ส.อยู่ในมือห่างจาก “7 พรรคฝ่ายค้าน” เพียงไม่กี่ช่วงตัว ด้วยแล้ว “พรรคพลังประชารัฐ” ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ไปจนถึงหัวแถวอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องเจอกับ “การต่อรอง” ที่ไม่รู้จักจบ จักสิ้น ยิ่งถ้าจะหวังให้ บรรดาพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคเล็ก พรรคจิ๋ว ไปจนถึงพรรคขนาดกลาง ยอมอยู่ในความสงบโดยไม่ออกฤทธิ์ เรียกร้อง หรือยอมรับในสิ่งที่ พลังประชารัฐ หยิบยื่น เชือดชิ้นเนื้อให้เพียงเล็กน้อย ยิ่งจะเป็นเรื่องยากเย็น ไม่ต่างไปจากการเข็นครกขึ้นภูเขา ! ในห้วงสัปดาห์นี้ ต้องยอมรับว่า เรื่องร้อนๆที่เขย่าภาพลักษณ์ สั่นคลอน เสถียรภาพของรัฐบาลเรือเหล็กคงไม่พ้นกรณีที่ “พรรคประชาธรรมไทย” นำโดย “พิเชษฐ สถิรชวาล” ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ตั้งโต๊ะแถลงข่าวประกาศ “ถอนตัว” จากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ชนิดไม่ใยดีกับไมตรีใดๆจากพลังประชารัฐ โดยมีมูลเหตุสืบเนื่องมาจาก วลีเด็ดจากปากของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะ “มือประสานสิบทิศ” ของพลังประชารัฐและรัฐบาล ที่หลุดปากเปรียบเทียบว่าตัวเองนั้นไม่ต่างจาก “ฤาษี” ที่ต้องหากล้วย มาเลี้ยง “ลิง” อยู่ตลอดเวลา “ผมเปรียบเหมือนเป็นคนเลี้ยงลิง จึงต้องเอากล้วยให้ลิงกินตลอดเวลา ขณะนี้เชื่อว่ากินจนอิ่มแล้วน่าจะพอได้แล้ว” ร.อ.ธรรมนัส ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา สืบเนื่องจากกรณีที่มีข่าวว่า “10พรรคเล็ก” ไม่พอใจการจัดสรรโควต้าเก้าอี้ ประธานกรรมาธิการ(กมธ.)สามัญประจำสภา 35 คณะ โดยทางกลุ่มพรรคเล็กขอตำแหน่งประธานกรรมาธิการฯ 1คณะ แต่กลับต้องผิดหวังเนื่องจาก ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ตัดคำว่ากลุ่มการเมืองออก ดังนั้น การจัดสรรต้องเป็นไปตามจำนวน ส.ส.เท่านั้น เมื่อ 10 พรรคเล็กเกิดความไม่พอใจ จึงเกิดกระแสข่าวว่า พรรคประชาธรรมไทย จ่อจะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล แต่ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่าได้พูดคุยกับพิเชษฐ แล้วไม่มีปัญหาอะไร ทุกอย่างเกือบจบลงด้วยดี หากมือประสานของรัฐบาลไม่หลุดปากเรื่อง “ฤาษีเลี้ยงลิง” ออกมา จนทำให้พรรคประชาธรรมไทยต้องตัดสินใจ เรียกศักดิ์ศรีคืน ด้วยการประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล อย่างที่เห็น ในความเป็นจริงแล้ว การร้องขอตำแหน่งของ พรรคเล็กที่มี 1เสียง หลายต่อหลายครั้งก่อนหน้านี้ ต้องยอมรับว่า แทบไม่ได้รับการตอบสนองจาก “พลังประชารัฐ” โดยเฉพาะ “บิ๊ก” ในรัฐบาล แต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็น การรวมตัวกันเพื่อขอเก้าอี้รัฐมนตรีในครม. หรือตำแหน่งข้าราชการการเมือง จนมาถึง “ฟางเส้นสุดท้าย” คือการจัดสรรเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการ ในสภาผู้แทนฯ เมื่ออกหัก ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ด้วยเป็นเพียง พรรคจิ๋ว มีพรรคละ1 ที่นั่งเช่นนี้ มิหนำซ้ำ ยังถูกเปรียบเทียบเป็น “ลิง” ที่ต้องมี “กล้วย”มาคอยป้อนตลอดเวลา การตอบโต้ด้วยการประกาศถอนตัวจากรัฐบาลจึงมีขึ้นอย่างที่เห็น สำหรับพรรคประชาธรรมไทย นั้นนับเป็นพรรคการเมือง ที่ 2 ที่ตัดเยื่อใยกับรัฐบาล เพราะก่อนหน้านี้ “มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” ส.ส.ระบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ประกาศขอถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 13 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยจะขอเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ขอยืนข้างประชาชน หลังจากที่พรรคจิ๋วพลาดตำแหน่งข้าราชการ การเมือง แน่นอนว่าทุกสายตาย่อมเพ่งมองไปยัง ร.อ.ธรรมนัส ที่อ้างตัวว่าเป็นเหมือน “ฤาษี” ต้องหากล้วยมาเลี้ยงลิง แต่เมื่อเลี้ยงดูกันไม่ดีพอ ก็เกิดปัญหา “วงแตก” มีอันต้องเสีย2พรรคจิ๋ว ทำตัวเลขส.ส.ฝ่ายรัฐบาลหายไป2 เสียง ซึ่งหมายความว่าเวลานี้ “18พรรคร่วมรัฐบาล”มีเสียงรวมกันอยู่ที่ 252 เสียง ขณะที่ “7พรรคฝ่ายค้าน” มี246เสียง และ2 เสียงกลายเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” แต่ถึงกระนั้นอย่าลืมว่า แม้ร.อ.ธรรมนัส จะออกหน้า รับบท “มือประสาน” คอยแก้ปัญหาทุกความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั้งภายในพรรคพลังประชารัฐ ไปจนถึงระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล หลายครั้งหลายคราวที่ผ่านมา ก็ใช่ว่าตัวร.อ.ธรรมนัส จะเคลื่อนไหว โดยไร้ “ใบสั่ง” จาก “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ “ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ” รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เสียทีไหน ! จะเปรียบไปแล้ว ร.อ.ธรรมนัส ก็ดูจะไม่ต่างไปจาก “ขุนพล” ที่ได้รับความไว้วางใจ จากบิ๊กตู่ และบิ๊กป้อมเท่านั้น ดังนั้นฤาษีตัวจริงเสียงจริง คือบิ๊กตู่ ต่างหาก เพราะเป็นทั้ง “ผู้นำรัฐบาล” และว่าที่ “หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ” ตัวจริงที่รอจังหวะรันเวย์ ปลอดโปร่งและสะดวกโยธิน จึงจะประกาศตัว เช่นเดียวกับ “พี่ใหญ่” อย่างบิ๊กป้อม ที่เข้าไปนั่งกุมบังเหียนในพรรคพลังประชารัฐ นำร่องไปล่วงหน้า ประเด็นที่น่าสนใจ เมื่อบิ๊กตู่ คือฤาษีตัวจริงที่ต้องกำกับพรรคเล็ก พรรคจิ๋ว ไปจนถึงพรรคใหญ่ไม่ให้ แตกแถวจากนี้ อาจไม่ใช่เรื่องง่ายดาย เพราะอย่าลืมว่าปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งในครม.และในฝ่ายนิติบัญญัตินั้นกลับเป็นเหมือนเมฆหมอกที่ตั้งเค้า อยู่เบื้องหน้า หาก “ข้อเรียกร้อง”ไม่ได้รับการตอบสนอง อีกทั้งเมื่อมองไปยังสัมพันธภาพภายในพรรคการเมืองที่มีตำแหน่งแห่งหนอยู่ในครม. ร่วมลงเรือเหล็ก ด้วยแล้ว ยิ่งต้องบอกว่า นาทีนี้ บิ๊กตู่ แทบหมดสิทธิ์ “ถอดใจ” มีแต่ต้องเดินหน้าเพื่อหาทาง แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ไม่ให้ร้าวลึก ระหว่างรัฐมนตรีในกระทรวงเดียวกันแต่ต่างพรรค ไปจนถึงรัฐมนตรีต่างกระทรวง แต่อยู่ในสังกัด “กระทรวงด้านเศรษฐกิจ” ด้วยกัน อาการงัดข้อ ระหว่างรัฐมนตรีต่างพรรคมีให้เห็นจนเกิดเป็นคลื่นลม สร้างแรงกระเพื่อมผ่านการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตามกระทรวงต่างๆ เกิดเป็นความขัดใจที่พยายาม “ปิดกันให้แซ่ด” ในหลายกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย ไปจนถึงกระทรวงเกษตรฯ แน่นอนว่าการบริหารความขัดแย้งระหว่างคนทำงานด้วยกันนั้นถือเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ทว่าในยามที่รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่อาจใช้เวลาไปกับการแก้ปัญหาอาการไม่ลงรอยกันระหว่างรัฐมนตรีต่างพรรค ในยามที่ปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจกำลัง “จ่อ” เข้าถล่มอยู่เช่นนี้ได้ ลำพังปัญหาการถูกโจมตีจากฝ่ายค้านด้วยปมการเมืองทั้งในและนอกสภาฯ ยังถือเป็น “ปัจจัยภายนอก” ไม่น่าหวั่นวิตก เท่ากับ “ศึกใน” ทั้งที่พรรคพลังประชารัฐ ไปจนถึงในรัฐบาล ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย จากการสร้างอำนาจต่อรอง ทั้งตำแหน่ง ผลงานไปจนถึงเม็ดเงินงบประมาณ แต่งานนี้ ฤาษีที่ชื่อบิ๊กตู่ จะทำกระไรได้ ในเมื่อ วันวาน คสช.ต้องการ “19พรรค” มาทำหน้าที่ร่วมค้ำบัลลังก์ “นายกฯสมัยที่2” ให้กับพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ว่าจะยุ่งเหมือนยุงตีกัน หรือจะวุ่นวายต้องหากล้วยมาป้อน เพื่อตัดปัญหาไม่ให้ “ลิง” ก่อกวน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสถานการณ์ที่ ฤาษีอย่างบิ๊กตู่ ชิ่งไม่ออก !!