พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
วันนี้ ผมมี “ศาสตร์พระราชา” ที่มีความสำคัญ ในการสร้างความมั่นคงของชีวิต เพื่อจะลดปัญหาปากท้อง หนี้สิน ที่เราเรียกว่า “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” และป้องกันปัญหาสังคมได้ ตั้งแต่ในระดับครัวเรือนนะครับ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง อันได้แก่แนวคิดและวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวกับการบริหารการเงิน ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตามที่ “สมเด็จย่า” ได้ทรงอบรม สั่งสอน ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ อาทิเช่น การจ่ายค่าขนมเป็นรายสัปดาห์ เพื่อให้รู้จักการบริหารเงิน
โดยทรงหยอดกระปุกไว้ซื้อของที่สนพระทัย เช่น เครื่องดนตรี, กล้องถ่ายรูป, รถจักรยาน รู้จักการอดออม โดยทรงฝากเงินในธนาคาร และเรียนรู้การคำนวณดอกเบี้ย รู้จักการลงทุนและการสร้างรายได้ โดยทรงซื้อเมล็ดพันธุ์ผักมาปลูก แล้วเก็บไปขาย รู้จักการให้ ได้ตั้ง“กระป๋องคนจน” ซึ่งทรงสละเงิน 10% จากกิจกรรมที่มีกำไร สำหรับนำไปมอบให้โรงเรียนตาบอด, เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน เหล่านี้เป็นต้นนะครับ ผมไม่ทราบว่าเด็กๆ เดี๋ยวนี้ยังคงเก็บเงินค่าขนมไว้ฝากธนาคารบ้างหรือเปล่านะครับ
โครงการตัวอย่าง ที่ผมเห็นว่าสมควรสนับสนุน และน่าชื่นชม อันได้แก่ โครงการ “ออมวันละน้อยตามรอยสมเด็จพ่อ สานต่อเศรษฐกิจพอเพียง” ของโรงเรียนอนุบาลอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นการดำเนินตามนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ของรัฐบาล ได้มีการสอนให้เด็กนักเรียนเป็น “นักธุรกิจตัวน้อย”
โดยนำสินค้าเล็กๆ น้อยๆ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ ของเล่น อาหาร จากกิจกรรมนอกเวลาเรียน มาซื้อ-ขายใน “ตลาดนัดร้อยร้าน” ที่ทางโรงเรียนจัดเป็นประจำทุกปี ในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อจะส่งเสริมให้เด็กๆ นั้นได้รู้จักการเป็นทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ, ได้รับประสบการณ์จริงจากการประกอบอาชีพค้าขาย
ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพสุจริตนะครับ, รู้เทคนิคการขาย การเรียกลูกค้าและเห็นคุณค่าของเงิน รู้จักการออม การบริหารการเงิน จัดทำบัญชี มีการเก็บเงินบางส่วนไว้เป็นทุนการศึกษาและซื้ออุปกรณ์การเรียนต่างๆ อีกด้วย สิ่งที่สำคัญคือ สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ไม่ว่าจะตอนเด็ก หรือโตแล้วนะครับ
ก็ขอให้ช่วยกันคิด และสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ เหล่านี้ ที่จะเป็นการสานต่อ “ศาสตร์พระราชา” ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อจะปลูกฝังให้เยาวชนของชาติ ได้มีทักษะทางธุรกิจ ตั้งแต่ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง และรู้คุณค่าของเงิน การบริหารการเงิน รวมทั้งการออมด้วยนะครับ โตขึ้นเราจะได้พึ่งพาตนเองได้ มีความเข้มแข็งตั้งแต่ในระดับฐานราก ช่วยครอบครัวนะครับ
เรื่องที่ผมอยากทำความเข้าใจ กับพี่น้องประชาชนในวันนี้ หลายเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกก็คือ เรื่องพลังงาน ก็ขอให้เข้าใจว่า พลังงานนั้นจะมีความสำคัญมากทั้งในปัจจุบัน และอนาคต โดย เฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งจัดหานวัตกรรมใหม่ๆ
ซึ่งล้วนต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น สำหรับโครงสร้างพื้นฐานทุกระบบ ทั้งการคมนาคมขนส่ง และการสื่อสาร สารสนเทศ, อินเตอร์เน็ต และในกิจกรรมภาคเกษตรกรรม, อุตสาหกรรม, การท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งนับวันจะมากขึ้นนะครับ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและ คสช. ก็ต้องคำนึงการสร้างความสมดุลระหว่าง การพัฒนาในด้านพลังงาน กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ โดยผมยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุดนะครับ ทั้งนี้ก็เพื่อจะรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัด
แต่ก็อยากให้ประชาชนได้ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้นะครับ เพราะหากลงทุนด้านพลังงานที่ไม่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงแล้ว อจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเชื้อเพลิงที่ใช้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้านั้นมีหลายประเภทด้วยกัน เราก็อาจจะต้องจำเป็นต้องพิจารณาให้เกิดความเหมาะสม เราไม่อาจจะพึ่งพา ฝากความหวังไว้แต่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งนะครับ อาทิเช่นกับก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมัน วันนี้เราพึงพาอยู่ 70% นะครับ
เช่นในปัจจุบันเราต้องลดลง แล้วหาเชื้อเพลิงอื่นที่เหมาะสม ราคาถูก หาง่าย แล้วก็ปลอดภัย มีคุณภาพ ตอดจนไม่มีความเสี่ยงในเรื่อง “ราคา” มากนัก เพื่อจะมาทดแทน 70% ที่ว่า นะครับ ให้ลดน้อยลง ไม่เช่นนั้นมันก็จะเป็นภาระของพี่น้องประชาชน และภาคการลงทุนต่างๆ ก็จะเกิดอุปสรรค ทางด้านสังคมและเศรษฐกิจตามมา
เพราะฉะนั้นการใช้พลังงาน ฟอสซิลดังกล่าวนะครับ ทั้งแก๊ส ทั้งน้ำมันนั้นจะต้องลดลงจาก 70% ให้เหลือ 60% ให้ได้ก่อน แล้วเราก็จำเป็นต้องเพิ่มพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานจากขยะ, ชีวมวล, ลม, แดด อื่นๆนะครับ เราก็ทำอยู่แล้วในขณะนี้ ถ้าหากเราทำ เพิ่มได้จาก 30% เป็น 40% ก็ย่อมจะดีกว่าเดิมนะครับ ลดการผลิตแก๊ส CO2 ลดปัญหาโลกร้อนได้ด้วย เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องปรับอัตราส่วน แผน PDP ของเรา จากการใช้พลังงานจากฟอสซิล 70% กับ 30% จากพลังงานหมุนเวียน ให้เป็น 60% และ 40% ตามลำดับนะครับ
ปัญหาสำคัญต่อมา ก็คือวันนี้เราอาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน ก็คือคำว่า ความเสถียร และไม่เสถียร ก็คือความแน่นอนนะครับ ของพลังงานที่เกิดขึ้น จากการผลิต จากเชื้อเพลิงต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น นะครับแล้วก็การก่อสร้าง ต้นทุนการก่อสร้าง วัสดุต้นทุนที่นำมาใช้ ในการเป็นเชื่อเพลิง เหล่านี้อาจจะทำให้มีต้อนทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้น เราต้องเอาเหล่านี้มาพิจารณาด้วยนะครับ อาจจะส่งผลกระทบกับ “ค่าไฟ” ของคนทั้งประเทศ เพราะเราเอามารวมกันแล้วก็หารแบ่งกันนะครับ ใช้อัตราค่าไฟเท่ากันทั้งประเทศ อาจจะทำให้ “ค่าครองชีพ” สูงขึ้น “เป็นเงาตามตัว”
เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็ต้องมองในหลายประเด็นด้วยกันนะครับ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากแก๊ส จากน้ำมัน จากถ่านหิน จากพลังงานทดแทน พลังงานทางเลือก ทุกอย่างต้องพิจารณาในทุกแง่ทุกมุมนะครับ
ซึ่งถ่านหินนั้นเราก็เอามาพิจารณาเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่จะนำมาพิจารณาในการที่จะพยายามลดสัดส่วน และค่าใช้จ่าย จากก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมัน ที่เราจำเป็นต้องนำเข้าเป็นจำนวนมากทุกปีนะครับ เราก็ไม่มั่นใจว่าวันหน้าจะสะดวกง่ายดายแบบนี้หรือไม่ มีพอหรือเปล่า ราคาจะสูงขึ้นอีกหรือเปล่านะครับ แล้วเขาจะขายหรือไม่วันหน้า ถ้าน้อยลงๆ นะครับ อันนี้เป็นสิ่งที่เป็นความเสี่ยง
ในส่วนของที่เป็นถ่านหินนั้น ถ้าเราสามารถทำได้นะครับ ผมใช้คำว่าถ้าสามารถทำได้นะครับ จะต้องเป็นถ่านหินที่มี “คุณภาพสูง” ไม่ใช่ถ่านหิน ลิกไนต์ แล้วก็จะต้องเป็นชนิดทีสร้างมลภาวะน้อยที่สุดนะครับ ซึ่งการสร้างมลภาวะนั้นมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ที่เกี่ยวข้อง วันนี้ก็ยังมีใช้อยู่ในต่างประเทศด้วยนะครับ ไม่ใช่เป็นถ่านหิน ลิกไนต์ เป็นถ่านหินชนิด “บิทูมินัส” ที่เรียกว่า บิทูมินัส นะครับ ซึ่งมีคุณภาพ มีระบบกำจัดในกระบวนการผลิตที่ทันสมัย และเป็นมาตรฐานสากล
เราต้องฟังหลายๆ ทางนะครับ ผมไม่ได้หมายความว่า อย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่าอย่างหนึ่ง ต้องไปดูซิว่าหลักการและเหตุผลคืออะไร หลายประเทศเขาใช้อยู่หรือเปล่า ประเทศเพื่อบ้านเรามีไหมนะครับ คำว่าลดลง หรือเพิ่มขึ้นก็เป็นปัจจัยหนึ่งนะครับ ในการที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าประเภทนี้ แต่ต้องไปดูซิว่า เขาสร้างประเภทอื่นมากขึ้น ลดจำนวนโรงไฟฟ้าลงได้หรือไม่นะครับ ในขณะเดียวกันก็ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น กิโลวัตต์มากขึ้น ก็ลดจำนวนโรงไฟฟ้าลง แต่ก็คงมีการใช้เชื่อเพลิงชนิดต่างๆ อยู่เหมือนเดิมนะครับ
ทั้งนี้เราจะต้องทำให้สอดคล้องกับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)และการลดโลกร้อนลงไปด้วย ซึ่งผมได้ไปกล่าว หรือไปรับทราบมติในที่ประชุมสหประชาชาติไปแล้วนะครับ ว่าเราต้องพยายามลดให้ได้ 20 - 25% ภายในปี 2030 อันนี้ผมไม่เคยลืมนะครับ แล้วผมไม้ได้มุ่งหวังว่า ที่ทำมานี่ เพื่อจะยกเลิกอันนี้ ไม่ปฏิบัติตามพันธะสัญญา หรือไปทำเพื่อประโยชน์ใครทั้งสิ้น ผมมองว่าประโยชน์ประเทศชาติอยู่ตรงไหน ประชาชนอยู่ตรงไหนนะครับ เพราะฉะนั้นอะไรทีทำได้เราก็ต้องหาทางพิจาณาหาความร่วมมือกันให้ได้
ทั้งนี้ อยากจะเรียนให้ทราบว่าประเทศไทยนั้นเราอาจจะโชคดีนะครับ ที่เราผลิตก๊าซ CO2 ก๊าซคาบอนไดออกไซด์ เพียง 0.9% นะครับ ซึ่งถือว่าน้อยมาก กว่าหลายๆประเทศในโลก
แต่รัฐบาลก็จำเป็นนะครับที่ต้องปฏิบัติตามพันธะสัญญา แล้วขณะเดียวกันต้องรับฟังเสียงจากประชาชนไปด้วย จะเห็นว่า 2 ปี ที่ผ่านมานั้นรัฐบาลก็ฟังมาโดยตลอดนะครับ ไม่ได้หมายความว่าจะไปสั่งการ หรือลงมติโดยที่ไม่ฟังเสียงจากประชาชนเลย เราต้องการ การมีส่วนร่วมนะครับ ด้วยความเข้าใจ มากกว่าการบังคับใช้กฎหมายนะครับ สำหรับในเรื่องของการทำ EIA / EHIA ก็อย่าไปฟังคำบิดเบือนของใครทั้งสิ้นนะครับ วันนี้ให้ไปทำใหม่ก็ไปทำใหม่ คำว่าทำใหม่ก็ต้องมีของเก่าอยู่แล้วด้วย ก็เอาของเก่ามาพิจารณาร่วมกันกับของใหม่ที่ยังทำไม่เสร็จ ทั้งหมด ทั้งฉบับน่ะ ทั้ง 2 เรื่องก็ต้องทำให้ผ่านทั้งหมดนะครับ
เพราะฉะนั้นถ้าไม่ผ่าน จะทำยังไง ไม่ผ่านก็สร้างไม่ได้ ผมจะไปบังคับได้ยังไงนะครับ แต่ทุกคนต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดผลตามมานะครับ แล้วเราก็ต้องไปพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ที่จะทำอย่างำรให้ประชาชนเดือดร้อนในเรื่องของ “ค่าไฟฟ้า” น้อยที่สุด รวมทั้งต้องคำนึงถึง “ต้นทุนด้านพลังงาน” ชนิดอื่นๆ อีกด้วยนะครับ ความมีเสถียรภาพคือไม่สม่ำเสมอนะครับ เพราะการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนสามมารถใช้ในโรงงานขนาดเล็กนะครับ ในการที่จะส่งเข้าเป็นพลังงานหลัก พลังงานไฟฟ้าหลักในระบบนี่ค่อนข้างจะเป็นปัญหานะครับ เพราะบางครั้งนี่ขึ้นๆ ลงๆ นะครับ ไม่เสถียร ต้องมีพลังงานหลักใส่เข้าไปด้วยนะครับ
เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถที่จะทำได้อย่างที่ว่าทั้งหมดนะครับ ก็จะมีการผสมกัน ทดแทนกัน อยู่ในกรอบ 100% นะครับ ของการจัดหาพลังงาน ตามแผน PPP นะครับ จะต้องตอบคำถามข้างต้นได้ทั้งหมด ตอบคำถามประชาชนได้ด้วย รัฐบาลจริงๆ แล้วก็ไม่อยากจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินหรอกนะครับ เพราะว่าไม่ได้เป็นผลอะไรกับผมเอง หรือกับรัฐบาล กับ ครม. แต่เป็นผลกับประเทศชาติ
ถ้าทำได้ก็คือทำได้ ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมไม่อยากให้มาขัดแย้งกันอีกนะครับ ก็มีการพูดจาหารือกันดีๆ ไม่จำเป็นต้องมาประท้วงนะครับ ผมก็ให้ทบทวนอยู่แล้วล่ะในขณะนี้ แต่อย่าใช้คำว่า จะกดดันอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าทำ หรือถ้าไม่ทำจะเป็นยังไง ผมว่าไม่ถูกต้อง กฎหมายก็มีอยู่นะครับ เพราะฉะนั้นรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน อย่าประท้วงกันอีกเลยนะครับ ให้เสียแรงเสียเวลา อันตราย เดินทางไป-มานะครับ เสียเวลาหาสตางค์ ดูแลครอบครัวด้วย ช่วยกันไปพัฒนาตนเอง ทำความเข้าใจ เดินหน้าประเทศ ดีกว่านะครับ
เรื่องสำคัญก็คือเราไม่อาจใช้การเกษตรกรรมเป็นรายได้ของประเทศแต่เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไปนะครับ เพราะราคาพืชผลทางการเกษตร มีความผันผวน ไม่แน่นอน เราก็จำเป็นต้องเป็น “ประเทศเกษตรอุตสาหกรรม” และก็มีอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยนะครับ
มิฉะนั้นประเทศเราจะมีรายได้ไม่เพียงพอ สำหรับในการที่จะนำมาพัฒนาประเทศ หรือการพัฒนาด้านสวัสดิการของรัฐ สาธารณสุข, การศึกษา, การดูแลผู้สูงวัย และอื่นๆ อีกมากมายนะครับ ที่ทุกคนก็ทราบดี ผมก็อยากให้ทุกคน ทุกฝ่าย พยายามทำความเข้าใจกันหน่อยนะครับ
ทุกอย่างไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ก็เหมือน “เหรียญ 2 ด้าน” นั่นแหละ มีได้ ก็ต้องมีเสีย แต่เหรียญที่มีด้านเดียว เป็นเหรียญใช้ไม่ได้อยู่แล้ว เหรียญ 2 ด้าน มีได้ มีเสีย แต่ต้องมีได้มากกว่ามีเสีย แล้วจะดูแลผู้ที่เสียอย่างไรนะครับ เราจะมุ่งไปทางใดทางหนึ่งอย่างเดียวไม่ได้ เปรียบเสมือนเหรียญ 2 หน้าที่ต้องมีสมบูรณ์ทั้ง 2 ข้างนะครับเราต้องหาทางเลือกที่เหมาะสมของประเทศให้ได้ในทุกมิตินะครับ
สำหรับการทำ EIA/EHIA นั้น ก็ขอให้เร่งทำ ให้ได้ข้อยุติ จะได้ หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ ยิ่งช้าก็จะยิ่งเสียการ จะได้รีบคิดกันใหม่ จะทำอะไร แล้วก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในอนาคตร่วมกันนะครับการเสียอนาคต เสียโอกาส ความเสี่ยง พลังงาน ต้นทุน แล้วก็ความเสถียร แล้วก็ราคาค่าไฟฟ้าสูงขึ้น ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วยนะครับ เพราะรัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว อาจจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้นมีปัญหาอีกนะครับ
อย่างไรก็ตาม แง่มุมที่ผมเห็นว่า จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม นะครับ ที่คนไทยในวันนี้ มีความตื่นตัวในเรื่องของการพัฒนาและการอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ถ้าไม่ขัดแย้งกัน ก็ไม่รู้กัน ไม่รู้ว่าสำคัญอย่างไร ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง ถ้าทุกคนใช้โอกาสนี้สำรวจตัวเองว่าเรารู้หรือยัง เรารู้ครบถ้วนหรือยัง ก็จะแก้ปัญหาได้ ถ้ายังรู้ไม่พอ ก็ฟัง ก็อ่านเอานะครับ แล้วก็ตัดสินใจด้วยตัวเอง หรือปรึกษากันในสิ่งที่เป็นประโยชน์นะครับ
ในส่วนของการรักษาสิ่งแวดล้อมนั้น ผมอยากจะขอร้องว่าให้ช่วยกันสำรวจตัวเองนะครับว่าวันนี้เราใช้กล่องโฟม,ใช้ถุงพลาสติก, กันแต่ละครัวเรือน แต่ละคนมากน้อยเพียงใดนะครับ เพราะว่าเป็นขยะซึ่งทำลายได้ยาก เป็นร้อยปีนะครับ เพราะงั้น เรามีการทิ้งขยะแยกประเภทหรือยัง มีการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางหรือยัง เจ้าหน้าที่ขนได้ตรงตามที่แยกไว้หรือยัง
ทุกส่วนเกี่ยวข้องกันหมด ทั้งประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ การใช้ไฟฟ้า เราประหยัดพอหรือยัง ปิดไฟเมื่อหมดความจำเป็น ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า, คอมพิวเตอร์, โทรทัศน์ เมื่อไม่ใช้ หรือหลอดไฟทุกหลอดนะครับ อีกอย่างหนึ่งก็การประหยัดพลังงานน้ำมัน แก๊สนะครับ ที่เราใช้กันอย่าง บางที่ก็ไม่ระมัดระวัง ราคาถูก วันหน้าราคาขึ้นจะทำอย่างไร รัฐบาลก็ไม่สามารถจะอุดหนุนได้อีกแล้วนะครับ ในวันต่อไป
ถ้าหากว่าท่านช่วยกันทำอย่างนี้ แล้วก็ปลูกฝัง ลูกหลานให้ทำเป็นนิสัย ทำในสิ่งที่ “ถูกต้อง” เหล่านี้ ด้วยเหตุ ด้วยผล ก็จะทำให้เกิดผลดีในทุกด้านนะครับ ไม่แต่เพียงการประหยัดเท่านั้น รวมความไปถึงการสร้างจิตสำนึก แล้วก็เกิดความร่วมมือกับสังคม กับรัฐบาล กับชาวโลกนะครับในการที่จะรักษาสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ดี
เรื่องถุงพลาสติกนะครับ ขอให้ทุกคน ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ทุกคนควรช่วยกันรณรงค์ตั้งแต่บัดนี้ไปเลยนะครับ ให้ใช้ “ถุงผ้า” นำถุงผ้าไปซื้อของด้วยนะ ก็มีหลายชนิด ชนิดที่กันน้ำได้ ภายในก็บุเป็นอะไรที่กันน้ำได้ ทีทำลายได้ง่ายนะครับ ก็ขอให้นำติดไปแล้วกัน จะได้ลดการใช้ถุงพลาสติก อีกหน่อยห้าง ร้านค้าอาจจะต้องคิดราคาถุงพลาสติกด้วยนะครับ เพราะจะต้องส่งเสริมกันทุกมมิติ สำคัญอยุ่ที่ประชาชนนะครับ
เรื่องที่สอง เรื่อง มาตรา 44 ก็มีคนพูดกันมากมาย วิพากษ์วิจารณ์กัน ทั้งดี และไม่ดี ตลอดจนคำสั่ง คสช. ต่างๆ นั้นก็อยากให้เข้าใจตรงกันนะครับ ว่าเป็นเพียงกฎหมายชนิดหนึ่ง เหมือนกับกฎหมายอื่นๆ ที่ออกมาใช้เพียงเพื่อจะ “ปลดล็อก” อุปสรรคด้านกฎระเบียบต่างๆ ที่ไม่ทันสมัย เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หรือให้การดำเนินการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วขึ้น รวมทั้งระงับข้อขัดแย้งในกฎหมายหลายฉบับ ที่อาจจะมีผลต่อการทำงาน ที่เป็นการแก้ไข เป็น มาตรการเฉพาะหน้านะครับ
เพื่อให้การขับเคลื่อนประเทศ การเดินหน้าประเทศ มีความต่อเนื่องและต้องเป็นการกระทำโดยสุจริตของเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ อีกประเด็นหนึ่งก็คือต้องใช้ในการแก้ปัญหาความมั่นคง เพราะว่ามีหลายคน หลายประเภท หลายพวก ที่ไม่ค่อยชอบปฏิบัติตามกฎหมายปกติ กฎหมายอะไรก็ไม่ทำสักอย่าง ผมก็ไม่ทราบจะทำยังไงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่อยากให้มาโทษมาตรา 44 อย่างโน้นอย่างนี้นะครับ ถ้าท่านไม่ทำความผิด มาตราไหนก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นนั่นแหละ
ตัวอย่างที่เราใช้ไปแล้ว “งานที่คั่งค้าง” ในอดีต อาทิเช่น การขอตั้งโรงงาน กว่า 4,000 ราย, การขอใบอนุญาตจาก อย. กว่า 10,000 ราย การขอจดสิทธิบัตรของต่างประเทศ ที่ยื่นขอมา 20 ปีแล้ว กว่า 12,000 ราย เหล่านี้เป็นต้นนะครับ ค้างคามาได้ยังไง รัฐบาลนี้เข้ามาก็เข้าไปแก้ไขในทันทีที่ทำได้ เพราะเสียโอกาสนะครับ เสียขีดความสามารถในการแข่งขัน และให้การประกอบธุรกิจในระดับฐานรากเดินหน้าไปได้ด้วย เพราะสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ไปติดในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่ ไม่กำกับดูแล ก็จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 มาแก้ไขให้สำเร็จนะครับ
ส่วนมาตรการที่ทำให้เกิดความยั่งยืน ในเรื่องกฎหมายนี้ ก็คือว่าจะต้องมีการออกเป็นกฎหมายในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสมนะครับ หลังจากที่มีมาตรา 44 ไปแล้ว โดยจะต้องให้มีผลบังคับใช้ในเวลาต่อมาอย่างยั่งยืน ซึ่งตอนนี้กำลังทยอยผลักดันเข้าสู่กระบวนการออกกฎหมาย ทางนิติบัญญัตินะครับ อาจจะต้องใช้เวลานาน พิจารณากัน 3 วาระ บางทีเป็นเดือน หลายเดือน รัฐบาลนี้ได้ผลักดันกฎหมายทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการแล้ว กว่า 500 ฉบับนะครับ วันนี้มีผลบังคับใช้เป็น พระราชบัญญัติ แล้ว กว่า 200 ฉบับ
ไม่นับรวมการแก้ไขระเบียบ กฎ ข้อบังคับอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ถ้ารวมความไปแล้ว ทุกกระทรวง ทบวง กรม มีเป็นหมื่นนะครับ กฎหมายน นะทั้งทันสมัย ไม่ทันสมัย ที่จะต้องแก้ปัญหาทั้งหมดนะครับ ก็ต้องอาศัยเวลาดำเนินการต่อไปนะครับ ทุกรัฐบาล ประเด็นสำคัญก็คือเราจะต้อง เอากฎหมายที่เร่งด่วนมาดำเนินการก่อน กฎหมายทีทำไม่ได้ หรือไม่เคยทำ
เพราะว่ามีพันธะสัญญาระหว่างประเทศอีกด้วยนะครับ เรามีความจำเป็นในการที่ต้องบริหารราชการแผ่นดิน แล้วก็มีการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลกไปด้วย อาทิเช่น การแก้ปัญหา CITES นะครับ การค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย เราทำสำเร็จไปแล้ว รวมทั้ง IUU กำลังคืบหน้า แล้วก็ ICAO ซึ่งมีทิศทางที่ดีนะครับ ได้รับการยอมรับจากองค์กรระหว่างประเทศ ที่มาตรวจก็ชื่นชมนะครับ ในความจริงใจ 8;k,จริงจัง ความตั้งใจในการทำงาน เจตนารมณ์ของรัฐบาล เราก็คงต้องช่วยกันทำ ทำให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ตามที่เขากำหนดมานะครับ
ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ ปล่อยปละละเลย ไม่กำกับดูแล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าราชการอย่างเดียว การทำงานก็มีแต่ปัญหา ติดขัดไปหมด ไม่ทันเหตุการณ์ แล้วก็เท่ากับเราทำอะไรใหม่ๆ ไม่ได้เลย ปฏิรูปอะไรก็ไม่ได้ ติดของเก่า ติดปัญหาเดิมทั้งสิ้น อีกกรณีหนึ่งก็คือ กรณีธรรมกาย นะครับ ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอามาตรา 44 มารังแกพระ รังแกพุทธศาสนา ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะครับ ผมเป็นไทยพุทธนะ ครอบครัวผมก็ไทยพุทธ
แต่ผมมีหน้าที่ในการดูแลทุกศาสนาที่อยู่ในประเทศไทยนะครับ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องออกหรอกครับ มาตรา 44 น่ะ เกี่ยวกับเรื่องกรณีนี้ เนื่องจากกฎหมายทุกกฎหมายไม่ได้รับการยอมรับเลย จากคนบางกลุ่ม บางพวก ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย กระทำความผิด แล้วไม่ยอมรับอำนาจรัฐ ทับซ้อนอำนาจรัฐ ใช้กฎหมู่ ใช้คนจำนวนมาก ไม่เคารพ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ปกติ แล้วก็มีการผิดวินัยสงฆ์ เข้าไปด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นนะครับในการที่จะต้องใช้มาตรา 44 เพื่อมาดูแลในภาพรวมนะครับ
แต่ก็วันนี้ก็ ถึงแม้ว่าจะใช้ 44 ก็ยังมีการต่อต้าน ดึงดัน ฝ่าฝืน ไม่ยอมรับกันอีก แล้ว เจ้าหน้าที่เขาก็ทำงานลำบากนะครับ วันนี้ก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่เขาก็เหน็ดเหนื่อยนะ ทั้งที่เปนเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องนะ มีการสร้างภาพเจ้าหน้าที่ทำร้ายประชาชน การรักองค์กรนะครับ ไม่ว่าองค์กรใดก็ตาม เป็นสิ่งที่ดี ผมเคารพนะครับ แต่ต้องรักในทางที่ถูก ขจัดคนไม่ดีในองค์กรออกไป โดยให้กระบวนการยุติธรรม หรือกฎหมายตัดสิน บ้านเมืองมีขื่อ มีแปนะครับ ไม่มีใครจะสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้ คดีความก็คงต้องเดินหน้าต่อไปทุกคดี สังคมก็กำลังรอคำตอบอยู่นะครับ ต้องการเห็นความโปร่งใส
กฎหมายหลายฉบับที่มีอยู่แล้วนะครับบังคับใช้ไม่ได้ ก็เลยจำเป็นต้องใช้มาตรา 44 นะครับ เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งก็เห็นใจเจ้าหน้าที่เขาด้วย หลายหน่วยงานเขาก็ไปทำงาน เขามีความเสี่ยงนะครับ เขาเสี่ยงอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมาก ความรุนแรงพร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา อาจจะมีบุคคลที่ 3 หรือ 4 อะไรก็แล้วแต่เข้ามา เพราะถ้ามีรุนแรงเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เขาก็มีครอบครัว มีลูกเมีย ที่ต้องรับผิดชอบ คนที่รักของเขาเหมือนกัน ถ้าเขาไม่ปลอดภัยขึ้นมา เขา ถูกกระทบกระทั่ง ท้ายที่สุดก็บานปลายไปสู่การใช้กำลังกัน แล้วจะทำอย่างไรครับ ไม่เห็นใจเขาหรือเจ้าหน้าที่
พอเขาไม่ทำก็ไปว่าเขา พอเขาทำก็ไม่ได้อีก แล้วจะอยู่กันยังไงนะครับ เพราะฉะนั้นผมต้องทำ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เขามีความมั่นใจในการทำงาน มีความรู้สึกปลอดภัยนะครับ เพราะว่าถ้าเขาประสบอันตรายขึ้นมา ใครรับผิดชอบเขาได้ แล้วลูกเมีย ใครจะเลี้ยงดูเขานะครับ ผมก็ต้องปกป้องดูแลเขาตามสมควรนะ เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ทุกคนมองเจ้าหน้าที่ เป็น “จำเลยสังคม”
ที่ผ่านมาก็เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เป็นจำเลยทุกครั้งแหละนะ ขณะเดียวกันต้องกลับไปมองว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ถึงจะต้องใช้กฎหมายเข้ามาปฏิบัติ วันนี้อย่าให้ข้าราชการเขาลำบากในเลยนะครับ ปกติแล้ววันนี้เขาสามารถใช้กฎหมายปกติได้ทุกอันนั่นแหละ ใช้กำลัง ใช้อาวุธได้ ในกรณีที่มีอาวุธต่อสู้เจ้าหน้าที่
วันนี้ก็ไม่ได้ใช้สักอย่าง เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่มีอาวุธทั้งสิ้น ก็ถูกผลัก ถูกดัน ถูกอะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด เขาอดทนนะครับ เพราะผมเห็นรอยยิ้ม ขอบคุณ ชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกคนนะครับ ไม่ว่าจะ ตำรวจ DSI ทหาร ข้าราชการฝ่ายพลเรือนต่างๆ พระ นะครับ ทุกคนที่เข้ามาช่วยกันแก้ปัญหาตรงนี้ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ผู้ที่ทำให้เกิดปัญหา ไม่ยอมร่วมมือ นะครับ แล้วก็มีคนหมู่มากนี่ซึ่งอาศัยแรงศรัทธาของเขานี่มาชักจูง ทำให้ปัญหาแก้ได้ยากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ นะครับ
วันนี้เราไม่อยากใช้ในเรื่องของเครื่องมืออุปกรณ์ ในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย การควบคุมฝูงชน หรือในเรื่องของ พรบ.ชุมนุมสาธารณะ นะครับ เพราะว่าวันนี้เราพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด ทุกคนต้องอยู่ด้วยกันให้ได้นะครับ ถ้าเรายังสู้กันอยู่แบบนี้ วันหน้าก็เป็นอย่างนี้ เพราะเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีนะครับ ที่คนทั่วๆ ไปเห็นเขาก็รู้สึกไม่ดี เจ้าหน้าที่ก็รู้สึกไม่ดี เด็กๆ เห็นก็เป็นแบบอย่างวันหน้าก็เป็นแบบนี้อีก
ทำไมเราไม่หยุดเสียล่ะครับ หยุดซะวันนี้ ถ้าหยุดเมื่อไร มอบตัวกันทันทีให้เข้าไปบริกหารจัดการให้โปร่งใส มาตรา 44 ก็ยกเลิกได้เมื่อนั้นนะครับ เพราะเรียกร้องมา ขณะเดียวกันก็ยังผิดกฎหมายอยู่ ประเทศไหนเขาทำกันบ้างล่ะครับ เราก็พยายามอย่างเต็มที่นะครับ ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย รักษาความปลอดภัย ชีวิตละทรัพย์สินของทุกคนนะครับ มาตรการต่างๆ จะเห็นว่าจาก เบาไปหาหนัก ผ่อนหนัก ผ่อนเบา มีการพูดคุย ไม่ให้บานปลาย ไม่ให้มีการปะทะ คุยแล้วคุยอีก ก็ไม่สำเร็จสักที แล้วก็มีการต่อต้านที่ไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ก็ขอให้กระบวนการยุติธรรมตัดสินนะครับ ให้เจ้าหน้าที่เขาทำงาน ก็ไม่อยากให้ภาพต่างๆ เหล่านี้ออกไปต่างประเทศนะครับ สื่อทุกคนก็เห็นนี่นะครับว่าอะไรคือถูก อะไรคือผิด แต่ก็พยายามที่จะขยายภาพ ขยายข่าว ขยายอะไรไปเรื่อยๆ ท่านคำนึงหรือไม่ครับว่าต่างประเทศเขามองว่ายังไง เขาก็มองกลายเป็นว่าเหมือนเราไปรังแกพระ รังแกพระพุทธศาสนา แล้วเกิดอะไรขึ้น ดีกับประเทศไทยไหม ผมอยากจะถามท่าน
ก็เหมือนทุกครั้ง ท่านไม่คำนึงเลยว่าจะเกิดผมอะไรมาในอนาคต เพราะท่านไม่ต้องรับผิดชอบ รัฐบาล เจ้าหน้าที่รับผิดชอบ คิดอยู่แค่นี้ เพราะง้นต้องทบทวนนะครับ ว่าอะไรคือปัญหา แล้ววันนี้เขาทำอะไรกันอยู่ อย่าทำแต่เพียงหาข่าว ให้ข่าว ขยายข่าว แต่เพียงอย่างเดียว ขอให้ชักจูงซิครับให้คนกลับบ้าน ให้มามอบตัว ต่อสู้คดี นั่นแหละเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด สื่อต้องช่วยแบบนี้ นี่เขาเรียกว่าจรรยาบรรณไง ไม่ต้องควบคุมกันถ้าแบบนี้ล่ะก็นะ ไม่ต้องใช้มาตร 44 ไม่ต้องมีกฎหมายควบคุมสื่อด้วยซ้ำไป ทำให้ได้ซิครับ
ผมอยากให้สติแก่สังคมในวันนี้นะครับ ให้มีความอดทน อดกลั้นอย่างที่สุด เอาอะไรมาเป็นหลักคิด หลักธรรม หลักปฏิบัติ ให้ได้ ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ผมไม่อยากใช้มาตรการที่หนัก หรือรุนแรง ใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ วันนี้กำลังใช้กฎหมายปกติอยู่ด้วยนะครับ กฎหมายมาตรา 44 ตีกรอบเฉยๆ น่ะแหละ นะ
แต่วันนี้เจ้าหน้าที่ถูกกระทำมากไปเรื่อยๆ นะครับ การที่รุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ ถูกผลัก ถูกดัน แล้วก็กลายเป็นว่า รังแกพระ รังแกประชาชน ก็ดีเหมือนกันนะ แปลกดี ไม่เข้าใจว่า โซเชียลมีเดีย สื่อหลายฉบับ พาดพิงโจมตีมาผม มาผมไปเปลี่ยนศาสนา โน่น จะยึดที่นี่ไปห้าสนาโน้น ศาสนานี้ คิดได้ยังไง เพราะฉะนั้นถ้ามีคนเชื่อผมก็จนใจนะ คนที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ คนเขียนนี่สติไม่มีอยู่แล้ว ขอโทษนะ ผมไม่อยากจะว่า เขียนอะไรก็ได้ให้คนปั่นป่วน ให้คนทะเลาะเบาะแว้งกันไปเรื่องไม่รับผิดชอบสักอย่างนะ
เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคนพยายามเข้าใจในกฎหมายและก็ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่เขาทำงานด้วย เขาได้กลับบ้านไปดูแลลูกเมียเขา รถก็ไม่ติด ทุกคนก็ไม่อันตราย แล้วก็ประชาคมโลกเขาก็เข้าใจเรา
วันนี้ผมก็พยายามสื่อสารไปต่างประเทศด้วยนะครับ ผ่านกระทรวงต่างประเทศ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควร แต่ขณะเดียวกันก็มีคนไม่ดีอยู่ที่พยายามปล่อยข่าวความไม่ดี ความไม่เรียบร้อย การทำงานของรัฐบาล อะไรต่างๆ ก็ท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าใคร
ไม่เลิกซะที รอบบ้านก็ไปทำ ต่างประเทศก็ไปทำ ล๊อบบี้ยิสต์ก็ใช้ เหล่านี้ นะ ทุกคนก็ทราบดีทั้งหมด แต่ทำไมถึงยอมรับฟังกันอยู่ สื่อก็ไปขยายความให้อยู่เนี่ย ทุกวัน นะ เหมือนกับทุกเรื่องเป็นเรื่องสนุก บ้านเมืองไม่ใช่เรื่องสนุกนะครับ ไม่ใช่ว่าใครผิดใครถูก ใครชนะ ใครแพ้ สับสนไปหมด นะ
เพราะฉะนั้นไม่อยากให้เสนอข่าวเหมือนกับเชียร์มวยเชียร์กีฬา วันนี้ใครแพ้ ใครชนะ นะครับ ไม่มีใครแพ้หรอกครับ แล้วก็ไม่มีใครชนะด้วย ประเทศน่ะแพ้ ประชาชนก็เดือดร้อน ทุกคนต้องมีสติ ใช้สติปัญญาแยกแยะให้ออกนะครับ อย่าให้เสียภาพลักษณ์ของประเทศ เสียความน่าเชื่อถือ ในเวทีระหว่างประเทศ
สื่อออนไลน์ก็เหมือนกัน ท่านอาจจะคิดว่าจับไม่ได้ ไม่มีใครตามได้ นะ วันหน้าก็ตามได้เองอ้ะนะ มันมีกฎหมายอยู่แล้ว วันนี้จับไม่ได้ วันหน้าก็จับได้ ผมไม่ได้ขู่นะ เพราะฉะนั้นวันหน้าอย่ามาปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ หลักฐานมีทุกอัน นะ
เพราะฉะนั้นเราควรจะไม่สร้างความแตกแยก เพื่อให้สอดคล้องกับการที่เราจะต้องปรองดอง สมานฉันท์ ภายในช่วงระยะเวลานี้ด้วยนะครับ
ในส่วนของพฤติกรรมบ่อนทำลายต่างๆ ทั้งในประเทศ นอกประเทศ ของคนบางคน บางกลุ่มนั้น บางทีอาจจะทำด้วยเจตนา ไม่เจตนา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ คึกคะนอง ผมอยากให้เรื่องเหล่านี้มันจบเร็วที่สุดนะครับ ก็ขอให้ทุกอย่างมันไปสู่การแก้ปัญหาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ตามกฎหมายปรกติ และความเชื่อมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็ยังคงมีเหมือนเดิม เราต้องสร้างให้ได้เพราะประเทศไทยเราเป็นประเทศพุทธนะครับ แล้วก็มีศาสนาอื่นร่วมด้วยทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีทั้งสิ้น อย่ามาตีกัน
ในเรื่องของการปรองดองนั้น คณะกรรมการ ป.ย.ป. ดำเนินการอยู่นะครับ วันนี้ก็มีหลายคนออกมาพูดจาให้เสียหาย ไม่ได้ผลหรอกนะครับ นักโทษบางคนได้รับการประกันตัวออกมา ก็มาข่มขู่รัฐว่า “...ใน 3 เดือนต้องเห็นผลนะ ถ้าไม่เห็นผลจะเกิดการเปลี่ยนแปลง “ ทำไม ท่านจะปลุกระดมคนมาอีกหรือ ทำให้คนเขาตาย เขาเจ็บ ไปดท่าไหร่แล้ว ตอนนี้จะทำอีกหรือ แล้วใครจะออกมาให้เขาหรือ
อีกพวกก็บอกว่า ต้องรีบเลือกตั้งให้ได้ภายในเดือนสิงหาคม มิฉะนั้นจะเคลื่อนไหวอีก เป็นนิสิต นักศึกษา ผมถามนี่มันเกิดอะไรขึ้น ญาติพี่น้องท่าน เจ็บ ตาย บ้างหรือยังล่ะ ถ้าเป็นญาติพี่น้องท่าน เจ็บ ตาย สูญเสีย ท่านจะพูดแบบนี้มั้ย
ฉะนั้นผมก็ไม่อยากให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้มากนักหรอกครับ เป็นคนส่วนน้อย และเป็นความเห็นที่ไม่สร้างสรรค์ สังคม คนไทยทั้งประเทศ ตัดสินเอาเอง นะครับ จะยอมมั้ยจะยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า ที่ผมพูดเนี่ย อยากให้มีสติ ใช้เหตุผลนำความคิด นะครับ เกรงว่ามันจะทำลาย “บรรยากาศการปรองดอง” ของประเทศ นะครับประชาชน “ทั้งประเทศ”คงไม่อยากให้เหตุการณ์ปี 53 และปี 57 เกิดขึ้นอีกนะครับอย่างแน่นอน
ทำไมไม่รู้เหมือนกันว่า คนเหล่านี้ยังมี “ที่ยืน” อยู่ในสังคมได้อีกต่อไป นะครับ มีเงินใช้ มีหน้ามีตา มีคนเคารพนับถือทั้งที่มีความผิดมากมาย และไม่ยอมรับความผิด พูดจาโกหก บิดเบือน ทุกวัน อยู่เนี่ย สื่อก็ไปสัมภาษณ์อยู่ทุกวันๆ แพร่ภาพ และคำพูด ให้ประชาชนสับสนไปหมด ทำลายความสงบสุข ทำลายชื่อเสียงประเทศชาติ หลายคนมีคดีแล้ว ตัดสินแล้ว ประกันตัว อาจยังไม่ตัดสิน ก็ออกมาพูดจาโวยวาย แต่คดีใดที่ตัวเองถูกยกฟ้อง หรือไม่ถูกลงโทษ โอ๊ยดีใจ นะ ไม่เห็นพูดเลยว่ากฎหมายมันยุติธรรม แต่คดีใดที่ตัวเองผิด บอกไม่ยุติธรรม สองมาตรฐาน ตัวเองน่ะแหละครับสองมาตรฐาน ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องนะ อย่าสร้างความเกลียดชังด้วยคำพูดกันอีกเลย น่าจะพอได้แล้ว อย่าไปขยายความให้เขา
“เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” บ้าง นึกถึง “คนที่สูญเสีย” บ้าง ว่าถ้าเป็นญาติพี่น้องของตัวเองจะรู้สึกอย่างไร ขอให้ช่วยกันรักษาบรรยากาศที่ดีของบ้านเมือง เดินหน้าไปสู่ความปรองดอง ทุกเรื่อง โดยเฉพาะในส่วนที่จะต้องเป็น กติกา นะครับ อย่าไปคิดเฉพาะที่ “ได้ประโยชน์” พอ “เสียประโยชน์” แล้ว ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องมีทั้งได้ประโยชน์ และ เสียประโยชน์ ไปด้วยกัน เพราะว่ามันกำลังปฏิรูปกันอยู่ นะครับ
เรื่องเศรษฐกิจฐานราก สำคัญคือด้านเกษตรกรรม, การบริหารจัดการน้ำ, อาชีพอิสระ, SMEs Start-up เหล่านี้ ต้องดูแลทั้งหมดนะครับ ผมเห็นการเสนอข่าว ในโทรทัศน์หลายช่องสื่อหนังสือพิมพ์ดีๆ หลายฉบับ ทั้งหน้าใน ส่วนใหญ่เป็นหน้าในๆ อ้ะนะ ก็อ่านซะหน่อย ก็มีรายงานความก้าวหน้า, การพัฒนาตนเอง ให้มีรายได้ดีขึ้น จากคำแนะนำของเจ้าหน้าที่รัฐบ้าง, ของปราชญ์ชาวบ้านบ้าง ของเกษตรกรที่จบปริญญาความรู้สูงๆ เขาก็กลับมาทำการเกษตร เป็น Smart Farmer หรือผู้นำท้องถิ่นทางธรรมชาติ มีอยู่มากมาย เขาทำหมดแล้ว
ทดลองทำ ลองผิดลองถูก ปรับปรุงแก้ไขแล้ว เป็นสูตรสำเร็จแล้ว ก็ไปเอาเขามาดูเป็นตัวอย่างสิครับ มันสำเร็จไปแล้ว มีรายได้ที่เพียงพอ เพิ่มขึ้นไม่รู้กี่สิบเท่ากี่ร้อยเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติตาม “ศาสตร์พระราชา” แต่มันก็มีคนอีกจำนวนหนึ่ง ไม่น้อยเลยนะครับ ที่ไม่สนใจ ไม่เปลี่ยนแปลง ยังเชื่อฟังคำพูดที่ชักจูงว่าเออวันหน้าเดี๋ยวรัฐบาลจะเข้ามาอย่างนี้ อย่างนั้น แล้วก็จะแก้ไข จะให้สตางค์ ให้เงิน อย่าไปเปลี่ยนแปลงเลย ลำบากเปล่าๆ ยังมีอย่างงี้อยู่อีก แล้วผมถามว่าที่ผ่านมากี่สิบกี่ร้อยปีแล้วมันพัฒนาได้มั้ยฮึ หนี้สิน หมดหรือยัง ก็ยังไม่หมดน่ะ
เพราะฉะนั้นไม่อยากไปคิดแล้วไปทำแบบเดิมๆ นะครับ ถ้าอ้างว่าไม่มีความรู้ ทำไม่เป็น ไม่เคยทำ ทำแบบเดิมๆ ก็ไปถามเจ้าหน้าเขา ถามพ่อแม่พี่น้องที่อยู่ในพื้นที่ตัวเอง ที่เขาทำสำเร็จนะ อย่ามารอเรียกร้องความช่วยเหลือจากรัฐเมื่อมันเสียหายเลย คือปลูกแบบเดิมมันก็เสียหายแบบเดิม แล้วก็เรียกร้องจากรัฐแบบเดิม มันก็วนอยู่แค่นั้นแหละ แล้วหนี้สินก็อยู่ที่เดิม ลองปรับเปลี่ยนดูบ้างนะครับ อย่าไปฟังคน นักการเมืองใดๆ ที่ไม่ดีนะครับ คนดีๆเยอะแยะ ไปฟังคนดีๆเขาพูดโน่น อย่าไปฟังที่เขาพูดเพื่อหวังผลทางการเมืองต่อไปเลย นะครับ
ที่ผ่านมาอยากจะรู้ว่า ไอ้ที่พูดๆมาแล้วทั้งหมดน่ะ นักการเมืองที่ไม่ดีอ้ะนะ อันไหนดีดีผมไม่ไปแตะต้องท่าน ที่ไม่ดีก่อนปีพ.ศ. 2557 ท่านทำอะไรสำเร็จมาบ้าง ที่มันไม่เสียหาย ที่มันสร้างความเข้มแข็ง ที่มันเพิ่มประสิทธิภาพประเทศน่ะ มีมั้ย นะ
วันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วนะครับ ทั้งเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม –อากาศ–น้ำมีความเปลี่ยนแปลงทุกมิติ เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของเราด้วย ถ้าเราหวังจะเปลี่ยนแปลงวันข้างหน้า ถ้าวันนี้ไม่เปลี่ยน ไปเปลี่ยนวันหน้า เอ๊ะรอก่อน เดี๋ยววันหน้าค่อยทำ ไม่ทันกาลหรอกครับ ไม่ทันเวลา คนอื่นเขารวยไปแล้ว คนอื่นเขาหมดหนี้ไปแล้ว ท่านก็ยังมีหนี้สินล้นพ้นตัว ลูกหลานทำไง ไม่มีที่ทำกิน รัฐบาลหน้าเอ้า เอามา ไม่มีให้แล้ว เพราะที่ดินก็หมดไปแล้ว
ทุกคนจะต้องพัฒนาตนเองนะครับ อย่าให้มันถึงกับสูญเสียที่ดินทำกินของตัวเองไปเลย หนี้สินล้นพ้นตัว แก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วจะทำยังไง รัฐบาลนี้พยายามทำทุกอย่าง เอาทุกปัญหามา จะเห็นว่ามันเยอะมาก ตอนแรกก็กะว่าจะเอาเรื่องสำคัญทำก่อน ปรากฏว่าทำไปทำมามันสำคัญทุกอันเลย เพราะมันพันกันทั้งหมดไง
ก็เพียงแต่ว่า ขอร้องก็แล้วกัน ขอให้เชื่อฟัง ปรับตัว อาศัยเวลานะครับ ต้องอดทนกันหน่อย เพราะเราอดทนมานานแล้ว เป็นสิบๆปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นคำพูดต่างๆ ที่เหมือน “เลี้ยงไข้” ไม่จริงใจอย่าไปเชื่อมากนัก อย่าไปคล้อยเพราะที่ผ่านมาก็อยู่ในอำนาจกันทั้งสิ้น ทำอะไรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกันบ้างหรือเปล่า ส่วนที่ดีก็มีเยอะ ไอ้ส่วนไม่ดีก็เยอะ ฉะนั้นก็พยายามลดลงให้เหลือแต่ส่วนที่ดีแล้วกัน นะ
เราต้องส่งเสริมให้เข้มแข็ง ทุกระดับ มันสนับสนุนอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้หรอกครับ เพราะคนมันมีหลายประเภทด้วยกัน หลายอาชีพด้วยกัน ต้องมีการพัฒนาตนเองเข้มแข็ง มีขีดความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนอย่าไปรอเงินช่วยเหลือ บางครั้งนี่กฎหมายก็ไม่ให้นะครับ ให้ไม่ได้ แต่ไปให้กัน มันก็ผิดกฎหมายไง
เพราะฉะนั้นอย่าไปแก้ปัญหาแบบ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” ปัญหายังอยู่ที่เดิม งบประมาณไม่คุ้มค่า ประชาชนได้ประโยชน์บางกลุ่ม งบประมาณมหาศาล นะครับ มีการทุจริต เหล่านี้ผมเพียงยกตัวอย่างให้ฟัง นะครับ ผมต้องการให้ทุกคนตระหนักว่า ไม่ว่าจะรัฐบาลนี้ รัฐบาลไหน
ก็จะต้องเป็น “รัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ” ไม่ใช่เป็นรัฐบาลของ “ฐานเสียง” หรือรัฐบาลของ “คนที่ลงคะแนนให้” เท่านั้น รัฐบาลวันนี้กำลังแก้ปัญหาทุกอย่างหมด มันจะได้มากได้น้อยก็ต้องทำกันต่อไป นะ
เรื่องหนี้นอกระบบ ผมเห็นพูดกันมาหลายรัฐบาลแล้ว มีรัฐบาลนี้จะทำให้มันจริงจังขึ้น ผมที่ออกมาขณะนี้ก็มีมติครม.ออกมาแล้วนะครับ ก็ต้องมีวิธีการแก้ปัญหาที่มันถูกต้องตามระบบการเงินการคลัง ตามกฎหมาย นะ ก็ขอให้ติดตามนะครับ อันนี้ก็ที่ผ่านมาไม่เห็นมีใครทำนี่ครับ วันนี้ก็ยังติติงอยู่เลย เหมือน พร้อมเพย์ เหมือนขึ้นบัญชี วันนี้หายไปไหนแล้วล่ะที่มาติติงอยู่น่ะ พอทำสำเร็จแล้วก็เงียบ คือคนพวกนี้น่าเป็นห่วง นะ ประเทศชาติถ้ามีคนพวกนี้อยู่เยอะๆ น่าเป็นห่วง
ฉะนั้นรัฐบาลนี้ วันนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการ “ประชารัฐ” ทั้ง 12 คณะ ผมพูดมาหลายครั้งแล้ว เพื่อจะสร้างประสิทธิภาพ ในการทำงานภาครัฐ รัฐทำคนเดียวไม่ได้ ต้องเชื่อมโยง ภาคประชาชน เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่รัฐบาลจะไปเอื้อประโยชน์ให้กับใครเหล่านั้น วันนี้ก็ทำทุกอย่าง นะ เราต้องไปแก้ไขใน “วงจรธุรกิจ”
ซึ่งมันก็เหมือน “วัฎจักรทางธรรมชาติ” นะครับ มันมีสัตว์เล็ก – สัตว์ใหญ่ พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน พืชพรรณนานาชนิดพึ่งพาอาศัยกัน มันอยู่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ มันเสียสมดุล วันนี้ นักธุรกิจเหล่านั้น เขาก็มีเจตนาดีมาช่วย “ตั้งใข่” เรียกได้ว่าตั้งไข่ให้กับให้บริษัทประชารัฐรักสามัคคีจำกัด ไอ้ธุรกิจเขาคือธุรกิจของเขา ถ้าถูกกฎหมายก็คือถูกกฎหมาย ผิดกฎหมายก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นเขาก็มาตั้งไข่ให้เรา ในภาคประชาชนใน “ทุกจังหวัด” ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารพัฒนาความรู้ ให้เงินทุน ดูแลการศึกษา ฝึกสอนการทำบัญชี เหล่านี้เขาก็มาช่วยอยู่ในส่วนราชการต่างๆ ทั้งสิ้น 12 คณะน่ะ ตั้งหลายสิบบริษัท เราต้องการสร้างความยั่งยืนนะครับ
อีกเรื่องหนึ่งคือการจัดทำโครงการใดๆ ก็ตาม ของรัฐบาลที่อนุมัติโดยคณะรัฐมนตรี(ครม.)นั้น เราจำเป็นต้องคิดให้ครบวงจร – ต้องทำแผนอย่างมียุทธศาสตร์ ว่ามันสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ไหน เราจะพัฒนาประเทศไปอย่างไร 5 ปี 10 ปี 15 ปี 20 ปี ฉะนั้นโครงการเหล่านั้นมันต้องสอดคล้องอย่างนั้น – และให้เกิดการ บูรณาการและต่อเนื่อง มันถึงจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน อาทิเช่น “การแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง–น้ำท่วมภาคใต้นี่ก็เห็นอยู่แล้ว ถ้าเราแก้ไม่ได้การระบายน้ำไม่ได้ เครื่องกีดขวางยังขวางทางน้ำอยู่ บ้านเรือนบ้านจัดสรร สถานที่อะไรต่างๆ ขวางไว้ทั้งหมด แล้วมันจะแก้ได้ไหมล่ะ
เพราะฉะนั้น วันนี้ผมได้สั่งการไปนะครับ จำเป็นต้องแก้ไขให้เป็นรูปธรรม อาจจะต้องมีคนเดือดร้อนบ้าง แต่รัฐบาลก็ต้องดูแล ก็ขอให้อย่าดื้อ ถ้าดื้ออีกปีหน้า ก็โดนอีก แล้วเราจะต้องเสียเงินไปอีกเท่าไหร่ ท่านจะต้องเดือดร้อนไปอีกเท่าไหร่ นะ หารือกัน ปรึกษากันนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคใต้ที่มันเกิดขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้