“ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์”เตรียมขายไอพีโอ 150 ล้านหุ้น รองรับแผนขยายธุรกิจ-เป็นเงินทุนหมุนเวียน เตรียมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ หวังสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งควบคู่ความเชื่อมั่น พร้อมสินค้ากว่า 60 รายการสร้างฝันและโอกาสให้กับทุกคนได้ ชูจุดแข็ง Multi-level Marketing ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าคุณภาพ จำนวนนักธุรกิจเครือข่ายมากกว่า 2 แสนคน มีสาขา 23 แห่งทั่วไทย ยอดขายมากกว่า 1 พันล้านบาทต่อปี พร้อมลุยขยายตลาดเออีซี นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) (SCM)เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้อนุมัติแบบคำขอเสนอขายหุ้นของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 25.00 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทภายหลัง IPO โดยคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาส 4/62 หรือภายในต้นปี 2563 สำหรับการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ เพื่อขยายธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ทั้งนี้ บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) (SCM)ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในลักษณะเครือข่ายขายตรง (Multi-level Marketing หรือ MLM) โดยบริษัทมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาทและมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 225 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทมีบริษัทย่อยทั้งหมด 3 บริษัทประกอบด้วย บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ แล็บบอราทอรี่ จำกัด (SML),บริษัท ซัคเซส สปิริต จำกัด (SPT) และ SCM Spirit (Myanmar) Co., Ltd. (SPM) ดำเนินธุรกิจใน 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มธุรกิจแบบเครือข่าย กลุ่มธุรกิจให้บริการคำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจเครือข่ายและรับจัดงานสัมมนา และกลุ่มธุรกิจโรงงานผลิตสินค้า นพ.สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) (SCM)กล่าวว่าบริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2555 เพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคทั้งในและต่างประเทศในลักษณะเครือข่ายขายตรง แบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจแบบเครือข่าย จำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคทั้งในและต่างประเทศ เป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทจำแนกเป็น 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว 4.กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าใช้ในครัวเรือน 5.กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งดำเนินธุรกิจโดย SCM 2.กลุ่มธุรกิจให้บริการคำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจเครือข่ายและรับจัดงานสัมมนา ดำเนินธุรกิจโดย SPT และ SPM เพื่อสนับสนุนธุรกิจเครือข่ายในประเทศ และตัวแทนจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศที่มีเครือข่ายสมาชิกและฐานลูกค้าเป็นของตนเอง 3.กลุ่มธุรกิจโรงงานผลิตสินค้า ดำเนินธุรกิจโดย SML ปัจจุบันเป็นบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นโรงงานผลิตสินค้าให้กับบริษัทเท่านั้น “จุดแข็งที่สำคัญของ SCM คือมีเครือข่ายสมาชิกเป็นจำนวนมาก โดยปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 2 แสนคนทั่วประเทศ และมีสาขากระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของไทย 23 แห่ง อีกทั้งยังมีตัวแทนจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศถึง 6 ประเทศเพื่อเป็นช่องทางกระจายสินค้าในประเทศแถบเออีซี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาการเติบโตเร็วมาก ก้าวสู่ 7 ปี สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 1 พันล้านบาทต่อปี และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะช่วยตอกย้ำแบรนด์ของเราให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค สร้างโอกาสในการเพิ่มฐานเครือข่ายสมาชิกและลูกค้า พร้อมผลักดันรายได้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต” นายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) (SCM)กล่าวว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้นอกเหนือจากการได้รับเงินทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการแล้ว สิ่งที่สำคัญคือการสร้างแบรนด์ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ ให้แข็งแกร่ง และเป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้นควบคู่กับการสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกคนรู้ว่าบริษัทมีผลิตภัณฑ์หลากหลายกว่า 60 รายการ ที่สำคัญคือธุรกิจนี้สามารถสร้างฝันและโอกาสให้กับทุกคนได้ "บริษัทของเราก้าวสู่ปีที่ 7 ถือเป็นน้องใหม่ของวงการที่มาแรง สะท้อนถึงความเชื่อมั่น ได้รับการยอมรับจากสมาชิก และผู้บริโภค และทั้งนี้บริษัทมีรายได้ติดอยู่ในอันดับ TOP 10 ระดับ 1,000 ล้านบาทจากกว่า 400 บริษัทขายตรงในประเทศไทย เรามีศักยภาพสูงทางด้านการทำธุรกิจในรูปแบบ Multi-level Marketing ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าคุณภาพที่มีกว่า 60 รายการ และไม่ใช่แค่ตลาดในประเทศไทยเท่านั้น เรายังไปขยายไปยังตลาดเออีซี โดยประเทศที่ขยายไปประกอบด้วย เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่ไม่ได้คิดจะหยุดเพียงเท่านี้ โดยบริษัทยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆเพิ่มเติม เพื่อที่จะขยายธุรกิจออกไป และทำให้กิจการเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืนในอนาคต”