อาการบาดหมาง ร้าวลึกระหว่าง “2พรรคการเมือง” ที่กอดคอร่วมสถานะ คือ “พรรคฝ่ายค้าน” ทั้ง “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคอนาคตใหม่”จะประสานกันไปหรือไม่ จากนี้ไปยังไม่สำคัญมากเท่ากับ ปัญหาที่เกิดขึ้น คือการสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดระแวง ความหวั่นวิตกต่อ “ชะตากรรม” ของพรรคอนาคตใหม่ ที่แม้แกนนำของอนาคตใหม่ ไม่อยากรับฟัง แต่นี่คือความจริงที่หลายคน ต่างรับรู้และประเมินสถานการณ์ออกมาในทางที่เป็นลบไม่ต่างกัน
ปัญหาของพรรคอนาคตใหม่นั้นถูกจับตามาโดยตลอด ว่าคดีความที่ติดพันตัว “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นั้นอาจไม่ได้ส่งผล “เฉพาะตัว” ธนาธร หากแต่ยังมีแนวโน้มที่จะทำให้พรรคอนาคตใหม่ มีอันต้องถูกยุบลงไปด้วย ทั้งคดีการถือหุ้นสื่อ และคดีการให้เงินกู้แก่พรรคตัวเอง
จะว่าไปแล้ว แม้แกนนำดาวสภาของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น “ชลน่าน ศรีแก้ว” หรือ “สุทิน คลังแสง” จะไม่ออกมาวิเคราะห์ ถึง “ไพบูลย์โมเดล” นั้นอาจจะเป็นเกมๆหนึ่งเพื่อนำมาใช้กับพรรคอนาคตใหม่ หากถูกยุบพรรคจริง แต่ก่อนหน้านี้การคาดการณ์ไปจนถึงการพูดถึง ชะตากรรมของพรรคอนาคตใหม่ มีขึ้นมาเป็นระยะ ชนิดที่เรียกว่า “ปิดกันให้แซ่ด”
แต่เมื่อเป็นการวิพากษ์วิจารณ์จาก นักการเมือง จากพรรคขั้วรัฐบาล แน่นอนว่าแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ ย่อม “ตีความ”ได้ว่าเป็นความไม่หวังดี จากฝ่ายตรงข้าม ทว่าครั้งนี้การวิเคราะห์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาจากแกนนำของพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมฝ่ายค้านเช่นเดียวกัน ย่อมทำให้เกิดความหวั่นไหว และ “ขวัญเสีย” บวกกับ “ความไม่พอใจ” ที่สะท้อนผ่านสุ้มเสียงของ “ปิยะบุตร แสงกนกกุล” ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ อย่างที่เห็น
การที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระดับ “แม่ทัพ” ต้องออกมาเขียนข้อความผ่านเฟชบุคเพื่อขอโทษขอโพยพรรคอนาคตใหม่ ล่าสุด ยิ่งตอกย้ำว่า “รอยร้าว” ระหว่าง2พรรคฝ่ายค้าน หากจะให้ “สนิท” เหมือนเคย เห็นทีจะเป็นเรื่องยาก
สำหรับพรรคเพื่อไทยแล้วในฐานะที่ผ่านความยากลำบากทางการเมือง มาก่อน ย่อมอ่านเกมได้ออกว่า ความบาดหมางระหว่างกันเช่นนี้ แทบไม่มีผลดีใดๆ โดยเฉพาะในจังหวะนี้ เมื่อ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อยู่ในสภาพที่เรียกว่า “ตั้งตัว” ได้ติดแล้ว เมื่อปมถวายสัตย์ฯ อันเคยเป็น “วาระหนักอก” ได้ถูกปลดพ้นออกไปแล้ว
หมายความว่า แม้พรรคฝ่ายค้านจะออกแรง “อภิปรายซักฟอก” พล.อ.ประยุทธ์ในสภาผู้แทนฯ ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 ก.ย.นี้ ก็แทบไม่มีผลใดๆ
อาการสะดุดขาของตัวเองของพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ ครั้งนิ้แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่อง “กลอนพาไป” และไม่ใช่เพราะ “ประสงค์ร้าย” หากแต่ทั้งชลน่านและสุทิน แกนนำพรรคเพื่อไทย ต่างหวั่นไหว วิตกว่าที่สุดแล้ว พรรคเพื่อไทยอาจต้องยืนสู้ในฐานะ “พรรคฝ่ายค้าน” อย่างโดดเดี่ยวกลางสภาฯ เพียงลำพัง
เมื่อวันที่พรรคอนาคตใหม่ มีอันต้องถูกยุบลงจริง และ ส.ส.ของพรรคจะอยู่ในสภาพกระจัดกระจาย ไปตามพรรคต่างๆเพื่อ “หนีตาย” และแน่นอนว่า นาทีนั้น จะเหลือส.ส.เขต มาอยู่กับพรรคเพื่อไทย กันสักกี่คน !