สถาพร ศรีสัจจัง ถ้าจะถามว่า เบื้องหลังของกรอบแนวคิดเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” ของ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เกิดขึ้นเพราะทรงมีพระราชประสงค์ใด? และที่พระองค์ทรงปรารถนาให้สังคมไทยมีฐานรากตั้งอยู่บนระบบเศรษฐกิจเช่นที่ว่านั้นเป็นเพราะเหตุใด? หรือมิใช่เป็นเพราะพระองค์ทรงเห็นอย่างลึกซึ้ง ถึงด้านสร้างสรรค์และทำลายของระบบเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยมบริโภค”ที่กำลังก่อเป็นขบวนปล้นทำลายโลกให้เห็นเชิงประจักษ์อยู่ในปัจจุบัน? แบบที่ไม่มี “ชาวพุทธแท้” และ “มุสลิมแท้” คนไหนจะรับได้ เพราะ “ระบบทุนนิยมเสรี” มีหลักการที่ขัดแย้งกับ “แก่นธรรม” ของทั้งสองศาสนาโดยตรง และทุกคนย่อมต้องรู้และเห็นว่า “ระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา” ของระบบเศรษฐกิจดังกล่าวนั่นแหละคือแก่นแกนของการสร้าง “ความเหลื่อมล้ำทางสังคม” ในทุกด้านอย่างแท้จริง แม้แต่เรื่อง “สิทธิ” และ “เสรีภาพ” ที่ระบบทุนนิยมเสรีใช้เป็น “คาถา” ในการโฆษณาเพื่อชวนให้คนเชื่อในทำนองเป็น “ความวิเศษสูงสุด” ของระบบดังกล่าวก็ยังแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างสำคัญ! ใครไม่เชื่อก็ดูเอาเถิดว่า “คนรวย” กลุ่มที่อยู่บนยอดปิรมิดของสังคมไทย มีใครบ้างที่ทำผิดแล้วต้องติดคุก ขนาดศาลพิพากษาแล้ว ขนาดหลักฐานประจักษ์อยู่ตรงหน้า ขนาดเป็นคนฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยตรง ฯลฯ มีกี่สิบราย ร้อยราย ที่ยังลอยนวลเสวยสุขอยู่ทั้งในและนอกประเทศ? ทำไม พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงทรง “ชี้ภัย” ของ “ความไม่รู้จักพอ” (เคยเห็นนายทุนใหญ่คนไหนบ้างที่รู้จักพอ?)ว่าเป็นทางแห่งหายนะ เป็นทางแห่งความทุกข์? ก็เพราะ “ความไม่รู้จักพอ” นั่นแหละคือต้นเหตุแห่งการพอกสุมความเป็น ไตัวกูของกู” ให้หนาหนักขึ้นทุกทีๆ เป็นเหตุแห่งการเกิด “อบายภูมิ” ของจิตวิญญานแห่งความเห็นมนุษย์ อย่างน้อยที่สุด “อคติ” ที่เกิดขึ้นจากความโลภ จากความคิดแบบ “ต้องได้กำไรสูงสุด” ของระบบดังกล่าวย่อมนำมาซึ่ง “อคติ” อีก 3 ประการตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นคือ ความลำเอียงเพราะหลง ความลำเอียงเพราะความโกรธเคือง(คู่ต่อสู้หรือคู่แข่ง) และท้ายสุดคือความลำเอียงเพราะรัก(ในอำนาจกิเลสทั้งหลาย) มีใครที่อยู่ระดับยอดปิรมิดในประเทศนี้ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รับฟังคำสอนของพระองค์แล้วสมาทานเป็นสรณะนำไปปฏิบัตรจริงในชีวิตบ้าง? นับตั้งแต่คนที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี /รัฐมนตรี /ปลัดกระทรวง /อธิบดี/ ผอ. /ครูอาจารย์/ มหาเศรษฐี/ผู้คนที่เสพย์กำไรทุกวันอยู่ในกลุ่มทุนผูกขาด ฯลฯ! ในระดับสังคมทั่วไปเล่า?มีพ่อ แม่บ้านไหนอบรมสั่งสอนลูกอย่างลึกซึ้งเอาจริงเอาจังกับเรื่องที่พระราชาผู้ทรงธรรมพระองค์นั้นทรงสั่งสอนไว้และทรงปฏิบัติให้เห็นโดยตลอดในรัชสมัยของพระองค์บ้าง?มีสักกี่ครัวเรือน กันหนอ? ผู้คนทุกระดับในประเทศนี้ล้วนคิดและปฏิบัติสวนทางทางดีบคำสอนของพระองค์แทบจะทั้งสิ้นหรือเปล่า?! ผู้คนเหล่านั้นล้วนสมาทานเข้าเป็นสาวกของ “ขบวนแห่ปล้นโลก” ภายใต้นาม “ระบบทุนนิยมผูกขาด”(ImperialCapitalism)กันแทบทั้งสิ้น(ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป เช่น ไม่สามารถขวางกระแสโลกได้ /จะดักดานอยู่ได้อย่างไร?/ต้องก้าวให้ทันโลก/น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ/ฯลฯ) ชัยชนะของความคิด “โลกาภิวัตน์” ที่เป็น “Program” ซึ่ง “โปรแกรมเมอร์” ที่ชื่อ “ทุนนิยมเสรีคิดให้ จึง สามารถ “ครอบ” ลงบนจิตวิญญาณ” ผู้คนได้อย่างเป็นด้านหลักในโลกยุคปัจจุบัน! เพื่อการ “แข่งขัน” ไปสู่จุดที่จะทำให้ได้รับ “กำไรสูงสุด” ทุกอย่างจึงต้องเกิดขึ้นอย่างไม่รู้หยุดหย่อนและเหน็ดเหนื่อย ตั้งแต่ต้องพัฒนา “เทคนิคในการผลิต” และ “ระบบตลาดสินค้า” อยู่ทุกวินาที/ แย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติเพื่อนำมาทำกำไรกันทุกวินาที/กระตุ้นและสร้างรสนิยมปลอมในการบริโภคของมนุษย์อย่างไม่เห็นจุดสิ้นสุด/ฯลฯ แล้วณวันนี้ สังคมไทยภายใต้การนำของใครก็ไม่รู้(นักการเมืองใหญ่/ขุนทหาร/กลุ่มทุนบรรษัทข้ามชาติทั้งหลาย/กลุ่มทุนชาติผูกขาด/กลุ่มทุนสามานย์ฯลฯ)ได้นำประเทศเข้าร่วมแห่เป็น “ขบวนแห่ปล้นโลก” ไปเรียบร้อยด้วยแล้วใช่ไหม? หรือยังมีใครบ้าง? ที่กล้าคิดทวนกระแส(ไม่ใช่แต่ปาก)ยืนยันยืนหยัดทฤษฎี “ทางกลับคือการเดินทางต่อ” (ติช นัท ฮันท์)ประกอบสร้างแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” มานำพาประเทศไปสู่ “ธรรมิกสังคมนิยม” อย่างที่ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเคยทรงชี้นำไว้?!!!!